“รัฐ” ไม่ใช่พื่นที่ว่างเปล่าที่ใครมีกำลังก็สามารถเข้ายึดครองเป็นสมบัติของตนได้ เพราะรัฐถือกำเนิดขึ้นมาด้วย “ความเห็นร่วมกัน” ของมหาชนในสังคม โดยมีเจตจำนงเพื่อ “ 1. ขจัดความชั่วร้ายอันเกิดจากการเบียดเบียน 2. เพื่อสร้างอรรถประโยชน์สุขแก่มหาชน 3. เพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์สู่ความสมบูรณ์" (หรือความเป็นอารยะ ฯลฯ)
ทั้งหมดอย่างน้อย 3 ประการนี้จะเรียกว่าอุดมคติแห่งรัฐ อุดมการณ์แห่งรัฐ นโยบายแห่งรัฐ และหน้าที่ของรัฐก็ย่อมได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นนิยามแห่งรัฐ
ถ้าไม่มีเจตจำนงอย่างน้อย 3 ประการนี้ก็จะไม่มีรัฐ - ไม่ใช่รัฐที่พึงประสงค์ของมหาชน
กล่าวให้สั้นก็คือ มันคือรัฐนั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องมีอุดมคติแห่งรัฐ อุดมการณ์แห่งรัฐ นโยบายแห่งรัฐ และหน้าที่ของรัฐใดๆอีก
เปรียบเป็นรถก็เป็นรถคันหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีรถคันอื่นซ้อนทับหรือแทรกเข้าไปในตัวรถอีก
หน้าที่ของมหาชนก็คือ “เลือกผู้ขับรถ” หรือรัฐบาล เพื่อทำให้รัฐหรือเจตจำนงของมหาชนเป็นจริง
นั่นคือ มหาชนมีความเห็นร่วมกันเลือกผู้เป็นหัวหน้าหรือประมุข...พุทธศาสนาเรียกว่า “มหาชนสมมุติ” (เห็นร่วมกัน)
ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นใหญ่หรือประมุขแห่งแผ่นดิน เรียกว่า “ขัตติยะหรือกษัตริย์”
เมื่อทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่สังคมจึงเรียกว่า “ราชา”
การปฏิบัติหน้าที่นั้นต้องใช้ “ธรรม” ซึ่งมีความหมายทางการเมือง 4 ประการ คือ 1. รัฐต้องทำให้ประชาชนมีความสุขด้วยธรรม (เสมอภาค) 2. โดยธรรม (ความยุติธรรม) 3.อันเป็นธรรม (มีความถูกต้องตามกฎบัญญัติหรือกฎหมายที่ไม่ขัดกับเจตจำนงของมหาชนหรือรัฐ) 4. ตามธรรม (ตามขอบเขตอำนาจที่ได้รับความเห็นชอบจากมหาชน)
ในปัจจุบัน ปัญหาในสังคมเกิดนั้นจากมหาชนเอง (พลเมือง) และผู้เป็นใหญ่ทั้งหลาย (นักการเมือง ข้าราชการ พนักงานของรัฐ ไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขอะไรได้เลย มีแต่จะเพิ่มพูนแพร่กระจายมากขึ้น เพราะไม่มีใคร “ทำหน้าที่” โดยใช้ธรรมดังกล่าว
ตรงกันข้าม กลับแย่งชิงกันเป็นใหญ่ โดยไม่สนใจมติมหาชนหรือเจตจำนงแห่งรัฐ ( ประการข้างต้น)
ส่วนมหาชนก็ไม่ได้ตระหนักว่าพวกผู้เป็นใหญ่นั้นจะต้องทำหน้าที่อะไรและอย่างไร ซ้ำกลับเข้าข้าง - แบ่งฝ่าย - ปกป้อง – แก้ต่างแทนพวกผู้เป็นใหญ่เสียเอง
เอาแต่ผลักผลประโยชน์ตนและสังคมให้แก่พวกผู้เป็นใหญ่ ด้วยต่างก็หลงคิดว่าตนและฝ่ายตนถูกต้อง จะสามารถทำให้เจตจำนงของมหาชนเป็นจริง
ปัจจุบัน...เจตจำนงของมหาชนหรือรัฐ จึงไม่มีใครทำหน้าที่และเห็นหัวมหาชน ต่างก็เข้าแย่งชิงอำนาจหรือความเป็นใหญ่ในรัฐ ด้วยวิธีฉ้อฉลและข้ออ้างสารพัด
ทั้งที่มาจากกล่องเลือกตั้ง และมาจากคลังแสง
เมื่อมีมหาชนเข้าข้าง สนับสนุน ปกป้องก็ยิ่งหลงลำพองว่ารัฐเป็นสมบัติของตน และตนคือรัฐ
เราแก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอก เพราะ “มหาชน” ต่างก็ทำให้มันวนเป็นวงจรบัดซบเสียเอง ด้วยการชี้หน้าก่นด่าคนอื่นและฝ่ายอื่น หลับหูหลับตาเชียร์และปกป้องฝ่ายตน โดยไม่มองถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม
ไม่มองว่าใครจะทำให้เจตจำนงของมหาชนเป็นจริง.
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี