วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“รัฐ” ไม่ใช่พื่นที่ว่างเปล่าที่ใครมีกำลังก็สามารถเข้ายึดครองเป็นสมบัติของตนได้ เพราะรัฐถือกำเนิดขึ้นมาด้วย “ความเห็นร่วมกัน” ของมหาชนในสังคม โดยมีเจตจำนงเพื่อ “ 1. ขจัดความชั่วร้ายอันเกิดจากการเบียดเบียน 2. เพื่อสร้างอรรถประโยชน์สุขแก่มหาชน 3. เพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์สู่ความสมบูรณ์" (หรือความเป็นอารยะ ฯลฯ)
ทั้งหมดอย่างน้อย 3 ประการนี้จะเรียกว่าอุดมคติแห่งรัฐ อุดมการณ์แห่งรัฐ นโยบายแห่งรัฐ และหน้าที่ของรัฐก็ย่อมได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นนิยามแห่งรัฐ
ถ้าไม่มีเจตจำนงอย่างน้อย 3 ประการนี้ก็จะไม่มีรัฐ - ไม่ใช่รัฐที่พึงประสงค์ของมหาชน
กล่าวให้สั้นก็คือ มันคือรัฐนั่นเอง
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องมีอุดมคติแห่งรัฐ อุดมการณ์แห่งรัฐ นโยบายแห่งรัฐ และหน้าที่ของรัฐใดๆอีก
เปรียบเป็นรถก็เป็นรถคันหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมีรถคันอื่นซ้อนทับหรือแทรกเข้าไปในตัวรถอีก
หน้าที่ของมหาชนก็คือ “เลือกผู้ขับรถ” หรือรัฐบาล เพื่อทำให้รัฐหรือเจตจำนงของมหาชนเป็นจริง
นั่นคือ มหาชนมีความเห็นร่วมกันเลือกผู้เป็นหัวหน้าหรือประมุข...พุทธศาสนาเรียกว่า “มหาชนสมมุติ” (เห็นร่วมกัน)
ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นใหญ่หรือประมุขแห่งแผ่นดิน เรียกว่า “ขัตติยะหรือกษัตริย์”
เมื่อทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่สังคมจึงเรียกว่า “ราชา”
การปฏิบัติหน้าที่นั้นต้องใช้ “ธรรม” ซึ่งมีความหมายทางการเมือง 4 ประการ คือ 1. รัฐต้องทำให้ประชาชนมีความสุขด้วยธรรม (เสมอภาค) 2. โดยธรรม (ความยุติธรรม) 3.อันเป็นธรรม (มีความถูกต้องตามกฎบัญญัติหรือกฎหมายที่ไม่ขัดกับเจตจำนงของมหาชนหรือรัฐ) 4. ตามธรรม (ตามขอบเขตอำนาจที่ได้รับความเห็นชอบจากมหาชน)
ในปัจจุบัน ปัญหาในสังคมเกิดนั้นจากมหาชนเอง (พลเมือง) และผู้เป็นใหญ่ทั้งหลาย (นักการเมือง ข้าราชการ พนักงานของรัฐ ไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขอะไรได้เลย มีแต่จะเพิ่มพูนแพร่กระจายมากขึ้น เพราะไม่มีใคร “ทำหน้าที่” โดยใช้ธรรมดังกล่าว
ตรงกันข้าม กลับแย่งชิงกันเป็นใหญ่ โดยไม่สนใจมติมหาชนหรือเจตจำนงแห่งรัฐ ( ประการข้างต้น)
ส่วนมหาชนก็ไม่ได้ตระหนักว่าพวกผู้เป็นใหญ่นั้นจะต้องทำหน้าที่อะไรและอย่างไร ซ้ำกลับเข้าข้าง - แบ่งฝ่าย - ปกป้อง – แก้ต่างแทนพวกผู้เป็นใหญ่เสียเอง
เอาแต่ผลักผลประโยชน์ตนและสังคมให้แก่พวกผู้เป็นใหญ่ ด้วยต่างก็หลงคิดว่าตนและฝ่ายตนถูกต้อง จะสามารถทำให้เจตจำนงของมหาชนเป็นจริง
ปัจจุบัน...เจตจำนงของมหาชนหรือรัฐ จึงไม่มีใครทำหน้าที่และเห็นหัวมหาชน ต่างก็เข้าแย่งชิงอำนาจหรือความเป็นใหญ่ในรัฐ ด้วยวิธีฉ้อฉลและข้ออ้างสารพัด
ทั้งที่มาจากกล่องเลือกตั้ง และมาจากคลังแสง
เมื่อมีมหาชนเข้าข้าง สนับสนุน ปกป้องก็ยิ่งหลงลำพองว่ารัฐเป็นสมบัติของตน และตนคือรัฐ
เราแก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอก เพราะ “มหาชน” ต่างก็ทำให้มันวนเป็นวงจรบัดซบเสียเอง ด้วยการชี้หน้าก่นด่าคนอื่นและฝ่ายอื่น หลับหูหลับตาเชียร์และปกป้องฝ่ายตน โดยไม่มองถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม
ไม่มองว่าใครจะทำให้เจตจำนงของมหาชนเป็นจริง.
วิมล ไทรนิ่มนวล

‘กมธ.ต่างประเทศ’ยกคณะฯล่องใต้ หนุน‘ภูเก็ต’เมืองต้นแบบมรดกโลก
ผู้ปกครองต้องตั้งสติ! 'หมอเด็ก'แนะวิธีดูแลเบื้องต้นเมื่อ'ลูก'มีไข้สูง-ชัก
สวรรค์เปิดฟ้า ตื่นตา!เมฆสีรุ้งเหนือกว๊านพะเยา
‘ในหลวง-พระราชินี’ทอดพระเนตร การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ รอบปฐมทัศน์ ตอน‘สัตยาพาลี’ สืบสานพระราชปณิธาน‘พระพันปีหลวง’
5 ทศวรรษ รอยพระบาทที่ยาตรา พระราชกรณียกิจใน 'สมเด็จพระพันปีหลวง' ณ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี