เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ผมเขียนที่คอลัมน์นี้ คัดค้านการโยนภาระให้ประชาชนของบรรดาผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย ที่ฉวยโอกาสเอาความตายของพะยูน “มาเรียม” มางดให้ถุงพลาสติก โดยเรียกร้องให้ประชาชนหาถุงผ้ามาใส่เอง หรือไม่ก็ซื้อถุงที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตวางไว้ขายข้างๆ เคาเตอร์ชำระเงินของตนอีกต่อหนึ่ง ซึ่งถุงที่นำมาขายนี้ ต่อมามีการเปิดเผยว่าเป็นถุงสปันบอนด์ ผลิตมาจากพลาสติกล้วนๆ เรียกอีกอย่างว่า non-woven เป็นพลาสติก เกรด PP (เกรดเดียวกับพลาสติกที่ใช้ทำถุงใส่แกง) แต่ใช้การปั่นเป็นเส้นใยเล็กๆ แล้วอัดเป็นแผ่น ข้อเสียคือ พอโดนแสงแดด ก็จะแตกตัวได้ง่ายขึ้น พอมาจับอีกทีก็กลายเป็นผง เป็นไมโครพลาสติก ชนิดหนึ่ง ที่มีอันตรายมากเพราะด้วยลักษณะที่ยุ่ยง่าย ทำให้ละลายในน้ำ ปะปนไปกับสิ่งแวดล้อม และเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
วันนั้น ผมตั้งคำถามว่า ทำไมร้านสะดวกซื้อ และ ซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่จัดหาถุงและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใส่สินค้าให้ลูกค้าแทนถุงพลาสติกที่กำลังรณรงค์ให้เลิกใช้ เพราะนี่คือหน้าที่ดั้งเดิมของผู้ขายที่จะต้องจัดหาถุงมาใส่สินค้าให้ผู้ซื้ออยู่แล้ว ทั้งปัจจุบันก็มีสถานประกอบการที่ผลิตถุงและบรรจุภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้อยู่แล้ว ใช้งบประมาณเปลี่ยนถุงพลาสติกมาเป็นถุงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต่ำกว่างบโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หรืองบโปรโมชั่นลดครึ่งราคาเป็นไหนๆ
ที่ตลกร้ายยิ่งกว่านี้คือ ขณะเรียกร้องให้ประชาชนผู้บริโภครักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตจะไม่แจกถุงพลาสติก เพราะใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทำให้ขยะล้นโลก ประชาชนต้องนำถุงผ้า หรือซื้อถุงสปันบอนด์ที่ร้านวางขายมาใส่สินค้า แต่ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตกลับมีกล่องพลาสติกไว้ที่สลัดบาร์ มีฟิล์มพลาสติกไว้ห่ออาหาร มีถุงพลาสติกไว้ใส่ผลไม้ และกุ้งหอยปูปลา สินค้าต่างๆ ในร้านที่วางจำหน่ายก็ล้วนมีบรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติก และใช้ครั้งเดียวทิ้งทั้งนั้น !
เป็นการรณรงค์แบบลูบหน้าปะจมูก รณรงค์แบบเอารัดเอาเปรียบ ฉวยโอกาสฉกฉวยประโยชน์เข้าตนโดยแท้ ไม่ได้รักษ์โลก ไม่ได้รักษ์สิ่งแวดล้อมอะไรเลย !
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเข้าไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือดัง 2 แห่งของเมืองไทย ได้หนังสือพงศาวดารทั้งของไทยและของพม่ามา 4 เล่ม ราคารวมกันสองพันกว่าบาท ผมต้องหอบหนังสือที่หนาเตอะทั้งสี่เล่มนี้มาใส่ไว้ในรถก่อนจะกลับไปซื้อของอย่างอื่นต่อ หนังสือทั้งสี่เล่มนี้ ซี่งสนนราคาเล่มละ 600 บาทบ้าง 400 บาทบ้าง นอกจากจะไม่มีถุงใส่ให้แล้ว ยังไม่มีปกพลาสติกใส่ให้อย่างที่แต่ก่อนเคยใส่ให้อีกด้วย ทั้งที่ปกพลาสติก ไม่ใช่พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างถุงพลาสติกที่อ้างกัน !
และที่ร้านขายหนังสือดังกล่าวนี้ ก็เช่นเดียวกับที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อทั้งหลายกล่าวคือไม่มีถุงพลาสติกใส่ให้ลูกค้า แต่มีถุงกระดาษขาย ราคาใบละ 10 บาท มีถุงสปันบอนด์หรือถุงผ้าไม่แน่ใจจำหน่ายในราคาใบละ 60-65 บาท !
สรุป ไม่ว่านายทุนใหญ่ หรือ นายทุนเล็ก นายทุนขายขนมจีบ ซาละเปา เหล้า บุหรี่ กระดาษชำระ หรือ นายทุนที่ขายหนังสือ ขายสินค้าที่ให้ความรู้ ให้ปัญญา ซึ่งควรจะมีมโนธรรมจริยธรรมกว่า มันก็สันดานเดียวกัน คือเอารัดเอาเปรียบและผลักภาระให้ผู้บริโภค!
สงสารนาย สเตียน กุสตาฟ ธูลิน วิศวกรสวีดิช ผู้คิดประดิษฐ์ถุงพลาสติกขึ้นมาเมื่อหกสิบปีที่แล้ว ด้วยหวังจะลดปัญหาการตัดไม้ ทำลายป่า เพื่อนำไปทำ “ถุงกระดาษ” ที่นิยมใช้กันในยุคสมัยนั้น แต่ทุกวันนี้ ถุงพลาสติกที่เขาคิดค้นขึ้นมากลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ร้าย” ทั้งที่ปัญหามันเกิดจาก “ผู้ใช้” ที่ไม่รู้จักใช้และกำจัดมันอย่างถูกวิธี
สงสารผู้บริโภค สงสารคนไทยเรา ที่ตกเป็นเหยื่อนายทุนที่เอารัดเอาเปรียบ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ปั่นกระแสรักษ์โลกอย่างหลับหูหลับตาและไม่รับผิดชอบ รณรงค์ตามก้นฝรั่งไปวันๆ
แทนที่จะสนับสนุนให้นายทุนผลักภาระให้ผู้บริโภค เรียกร้องให้พวกเขารับผิดชอบด้วยการเปลี่ยนมาใช้ถุงหรือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ดีกว่าหรือ ?
แทนที่จะรณรงค์ปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติก รณรงค์ให้คนรู้จักใช้มัน รู้จักวิธีกำจัด และคัดแยกขยะก่อนทิ้งอย่างถูกต้อง โดยสอนกันให้เป็นวินัย เป็นความเคยชินตั้งแต่เด็กเล็กๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนอนุบาล เรื่อยมาจนถึงผู้ใหญ่ทุกคน ไม่ดีกว่าหรือ ?
หรือจะปล่อยให้พวกนายทุนผลักภาระให้ผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสขายถุงกระดาษกับถุงสปันบอนด์ ที่ทำลายสภาพแวดล้อมของโลกเสียยิ่งกว่าถุงพลาสติก !
เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ขณะที่ผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับการรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติกดังกล่าว ผมได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบรรดานักการเมืองในรัฐสภาทั้งหลาย เร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างตรงจุด แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะคอลัมน์เล็กๆ คนเขียนเล็กๆ แบบนี้จะมีใครสนใจอ่าน จะมีใครสนใจนำคำแนะนำไปทำ
จึงทุกวันนี้ เรายังคงต้องถือของมือเปล่าจากร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ต ถ้าไม่ควักกระเป๋าซื้อถุงสปันบอนด์ หรือถุงกระดาษที่เขาวางขาย
ทุกวันนี้ มีแต่ประชาชนเรากันเองเท่านั้น ที่ต้องตั้งสติ รวมพลังช่วยเหลือกันเอง และอย่ารณรงค์อะไรแบบหลับหูหลับตา เต้นรำไปตามจังหวะดนตรีที่นายทุนบรรเลงให้เราเต้น
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
5 มีนาคม 2563
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี