เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมวานนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้นำ 14รัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แพทองธาร ชินวัตร” ที่เพิ่งจะถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1กรกฎาคมก่อนหน้านี้ ก็ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยเช่นกัน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่ตนเองเป็นคนแต่งตั้ง และเป็นการแต่งตั้งชิงตัดหน้าก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
การกระทำดังกล่าวของ“แพทองธาร ชินวัตร”นั้น คนทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ว่าจะในโลกความเป็นจริง หรือโลกเสมือนจริงในสังคมโซเชียล พูดเป็นเสียงเดียวแบบบ้านๆ ว่า “หน้าด้านหน้าทน”จริงๆ
เพราะแม้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่“แพทองธาร ชินวัตร”ก็ยังมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเตรียมไว้รองรับอยู่ก่อนแล้ว อันเป็นการวางแผนสำรองไว้ล่วงหน้า ซึ่งชาวบ้านร้านถิ่นโจษจันกันถึงเรื่องนี้ว่า “แพทองธาร”นั้น สมกับเป็นทายาทผู้สืบสันดาน และมีดีเอ็นเอของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร จริงๆ ทำนองว่า“โกงแล้ว โกงต่อ โกงต่อไป”
“ทักษิณ ชินวัตร”หนีคดีทุจริต มีโทษจำคุก 8 ปีติดตัว หลบอยู่ในต่างประเทศ 15ปีกว่า หลังจากหลอกศาลว่าจะไปดูกีฬาโอลิปิกในปลายเดือนกรกฎาคม2551 แล้วก็ไปลับ โดยมีที่พำนักหลักอยู่ที่ดูไบ เมื่อกลับเข้ามาในเดือนสิงหาคมปี2566 ประกาศรับผิดยอมติดคุก และได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1ปี ก็ยัง“โกงต่อ” ไม่ยอมติดคุก ไปนอนอยู่บน“ชั้น14”โรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งได้รับการพักโทษเมื่อครบ 180 วัน
แต่ว่าโชคชะตาไม่เข้าข้าง“ทักษิณ ชินวัตร” เหตุก็เพราะ คนอย่าง“ทักษิณ”เป็นคนกร่างชอบอวดศักดา และคิดว่าตนเองนั้น“เจ๋ง” ยิ่งเมื่อสามารถ“ชักใย”และ“สั่งการ”รัฐบาล”ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนหลัก และมี“แพทองธาร ชินวัตร”บุตรสาวเป็นนายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ของตนได้ ก็ยิ่งเหิมเกริม คิดว่ามีอำนาจล้นฟ้า ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น
ด้วยเหตุดังนั้น จึงทำให้เรื่องไม่จบ คดี“ป่วยทิพย์-ชั้น14”ถูกรื้อขึ้นมาพิจารณาใหม่ และก็มีแนวโน้มว่าในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้ ประมาณเดือนสิงหาคมนี้ “ทักษิณ ชินวัตร”ไม่น่าจะรอด คงถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งให้กลับไปติดคุกจริงๆ
นอกจากนั้น คดีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 และความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่“ทักษิณชินวัตร”เป็นจำเลย ฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง กรณีให้สัมภาษณ์สื่อของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 ตามหมายเลขคดีดำ“อ.1860/2567” ซึ่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ก็กำลังงวดเข้ามา โดยเมื่อวันที่ 3กรกฎาคมเมื่อวานนี้ ศาลอาญาได้สืบพยานโจทก์ทั้งหมด 10 ปาก เสร็จสิ้นแล้ว รวมเวลา 3 วัน
จากนี้ไปก็สืบพยานจำเลยต่ออีก 14 ปาก รวมทั้งหมด 4 นัด โดยจะเริ่มในวันที่ 15,16, 22 และไปจบในวันที่ 23กรกฎาคมนี้ ซึ่งเมื่อคาดการณ์ดูแล้ว ภายในเดือนสิงหาคมเดือนหน้า ศาลชั้นต้นก็น่าจะพิพากษาตัดสินคดีได้
เป็นอันว่า“ทักษิณชินวัตร”นั้น มี“สองเด้ง”รออยู่ข้างหน้า แต่ไม่ใช่โชค หากแต่เป็นเวรกรรมที่ได้ก่อไว้ คือมี“คุก”รออยู่ข้างหน้า ทั้งคดี“ป่วย ทิพย์-ชั้น 14” และคคีความผิดมาตรา 112
คดี“ป่วยทิพย์-ชั้น 14” มี 2ทางที่ศาลฯท่านจะชี้ คือให้เริ่มนับหนึ่งใหม่ จากต้องกลับไปติดคุกตามโทษ 8ปี หรือติด 1 ปีตามที่ได้รับพระราชทานลดโทษในภายหลังแล้ว ส่วนคดีมาตรา 112นั้น มีโทษจำคุกสถานเดียวไม่มีโทษปรับ ซึ่งอัตราโทษจำคุกอยู่ที่ 3-15ปี และคนที่เคยต้องโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองอย่าง“ทักษิณชินวัตร” และเคยใช้คำว่า“น.ช.”หรือ“นักโทษเด็ดขาดชาย”นำหน้าชื่อมาแล้ว โอกาสที่ศาลจะสั่งให้รอการลงอาญา หรือรอการลงโทษ คงยาก
สำหรับ“แพทองธาร ชินวัตร”ผู้เป็นบุตรสาว ในฐานะผู้สืบสันดาของ“ทักษิณ ชินวัตร” จากการเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 3กรกฎาคมเมื่อวานนี้ ก็ถือว่า“ความผิดสำเร็จแล้ว” จากนี้ไปก็คงมีคนร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญถอดถอดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องจากขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ(5) คือไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เป็นการถูกยื่นซ้ำรอยให้มีการถอดถอนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี แต่เป็นคนละกรณีกับ“คลิปอัปยศ”จากการสนทนากับ“ฮุน เซน” ผู้ทรงอำนาจแห่งเขมร ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 36สว.ไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งจะอะไรก็แล้วแต่ ถ้ากรณี“คลิปอัยศ”พิจารณาและวินิจฉัยเสร็จสิ้นก่อน กรณีการร้องเรื่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมก็ไม่มีความหมาย เพราะเท่ากับ“แพทองธาร ชินวัตร”ได้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว จะเป็นก็แค่บันทึกทางประวัติศาสตร์ ว่า“แพทองธาร”โดนถอดถอนออกจากตำแหน่งถึง“สองเด้ง” คือ ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
สรุปแล้ว “ทักษิณ ชินวัตร” กับ“แพทองธารชินวัตร”นั้น เป็น“สองพ่อลูกผูกพัน”กันจริงๆ และโชคชะตาก็ช่างบังเอิญ ที่จะต้องมาจบในเดือนสิงหาคมพร้อมกัน-พ่อติดคุกลูกตกเก้าอี้ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี