มีคน 2 กลุ่ม หากินกับ 2475
กลุ่มหนึ่ง แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง พยายามอวดอ้างตัวว่าตนมีความจงรักภักดีและกล่าวหาว่า 2475 ล้มล้างสถาบัน ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ คนพวกนี้บิดเบือนทั้งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงในปัจจุบันที่ประเทศเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่สืบเนื่องมาโดยไม่ขาดตอนจนถึงปัจจุบัน
อีกกลุ่มหนึ่ง แอบอ้าง 2475 พยายามอวดอ้างตัวว่าเป็นผู้สืบทอดภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จของ 2475 โดยพูดเป็นนัยให้ผู้คนเข้าใจว่า 2475 ต้องการล้มล้างสถาบัน แต่ยังทำไม่สำเร็จ ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ คนกลุ่มนี้ก็เช่นเดียวกับคนกลุ่มแรก ที่บิดเบือนทั้งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงในปัจจุบัน
ถ้าศึกษาค้นคว้าเหตุการณ์ 2475 อย่างไม่มีอคติลำเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง จะเข้าใจได้ไม่ยากว่า คณะราษฎรที่กระทำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองวันนั้น
ด้านหนึ่ง เป็นผลิตผลของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่จำต้องเกิดขึ้น พัฒนาการทางประวัติศาสตร์นี้ไม่จำเพาะว่าจะต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น หากเกิดขึ้นทั่วโลก ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของชนชั้นศักดินาถูกแทนที่ด้วยระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุนเป็นสิ่งที่จำต้องเกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์รวมทั้งล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ก็ทรงตระหนักดี เพียงแต่เหตุการณ์ 2475 ได้เกิดขึ้นก่อน ซึ่งพระองค์ท่านก็ทรงยอมรับการเปลี่ยนแปลงด้วยทรงเห็นแก่ความเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ ไม่อยากให้เกิดจลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง ดังจะเห็นได้จากลายพระราชหัตถ์ตอบรับคำกราบบังคมทูลของคณะราษฎร ลงวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ความตอนหนึ่งว่า
“ข้าพเจ้าก็ได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงทำนองนี้ คือ มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองตามพระธรรมนูญ จึงยอมรับที่จะช่วยเป็นตัวเชิด”
และจาก “บันทึกลับ” ของ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ผู้จดบันทึกเหตุการณ์การเข้าเฝ้าล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ณ วังสุโขทัย ของ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา, พระยาศรีวิสาร, พระยาปรีชาชลยุทธ, พระยาพหลพลพยุหเสนา และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ในวันที่ 30 มิถุนายน 2475 ปรากฏข้อความตอนหนึ่งว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7
ทรงเห็นว่าควรจะต้องให้ Constitution มาแต่รัชกาลที่ 6 แล้ว และเมื่อได้ทรงรับราชสมบัติ ก็มั่นพระราชหฤทัยว่า เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ Constitution แก่สยามประเทศ…... อย่างไรก็ตาม หลังจากปรึกษาเรื่องรัฐธรรมนูญกับพระยากัลยาณไมตรี (ดร.ฟรานซิส บี. แซร์) กลับถูกขัดขวางโดยอภิรัฐมนตรี”
อีกด้านหนึ่ง ที่คณะราษฎรกระทำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองวันนั้น เป็นเพราะความไม่พอใจที่ความเห็นของข้าราชการชั้นผู้น้อย ไม่ได้รับการเอาใจใส่จากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และพวกเจ้านาย และเห็นว่าหากบ้านเมืองบริหารไปตามความเห็นของพวกผู้ใหญ่ไม่กี่คนซึ่งมักเป็นความเห็นแบบเก่าๆ แคบๆ บ้านเมืองก็จะเดินไปสู่ความเสื่อมและความล่มจม ความไม่พอใจนี้เกิดขึ้นทั่วไปในหมู่ข้าราชการชั้นผู้น้อยทั้งในฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน
จริงอยู่ แม้แกนนำสำคัญของคณะราษฎรหลายคน มาจากบุคคลที่ได้รับทุนไปศึกษาเล่าเรียนเมืองนอก ไปซึมซับวัฒนธรรมและกลิ่นอายการปฏิวัติของยุโรป แต่เจตนารมณ์ วัตถุประสงค์ และการกระทำที่เป็นจริงของคณะราษฎรในวันนั้น คือต้องการให้บ้านเมืองปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มิได้ต้องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่คน 2 กลุ่ม ที่คอยหากินกับ 2475 บิดเบือนกัน ไม่ว่าจะพิจารณาจากเอกสารทางราชการที่ยังปรากฏให้เห็น จากบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ หรือจากคำบอกเล่าที่ถ่ายทอดกันมา
ในประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งมีเนื้อหาและท่วงทำนองการเขียนโจมตีสถาบันพระมหากษัตริยิ์อย่างรุนแรงและด้านเดียว ประหนึ่งว่าบุรพกษัตริย์ไทยมิได้ทรงทำคุณงามความดีไว้กับประเทศชาติเลย ได้ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
“คณะราษฎรไม่มีความประสงค์ทำการชิงราชสมบัติ ฉะนั้นจึงขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่ต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน.... ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนด... ก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งขึ้นอยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา”
ในคำกราบบังคมทูลของคณะราษฎร ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่ลงนามโดย พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา พ.อ. พระยาทรงสุรเดช และ พ.อ. พระยาฤทธิอัคเณย์ สามผู้นำทางการทหารของคณะราษฎร ซึ่งมีท่วงทำนองการเขียนที่ไม่รุนแรงเท่าประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ยิ่งระบุไว้ชัดเจนว่าถึงอย่างไรก็ยังจะให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ต่อไป กล่าวคือ
คณะราษฎรไม่ประสงค์จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันยิ่งใหญ่ก็เพื่อจะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จึงขอเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จกลับคืนสู่พระนคร และทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปโดยอยู่ใต้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินซึ่งคณะราษฎรได้สร้างขึ้น ถ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตอบปฏิเสธก็ดี หรือไม่ตอบภายในหนึ่งชั่วโมงนับแต่ได้รับหนังสือนี้ก็ดี คณะราษฎรจะได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน โดยเลือกเอาเจ้านายพระองค์อื่นที่เห็นสมควรขึ้นเป็นกษัตริย์”
ครั้นเมื่อศึกษาถึงแผนปฏิบัติการของคณะราษฎรในการเข้ายึดอำนาจครั้งนั้น จะเห็นได้ว่า มีการเปลี่ยนไม่ใช้แผนที่ 1 กับแผนที่ 2 ซึ่งเป็นแผนจู่โจมเข้ายึดพระราชวังหรือพระที่นั่งของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 แล้วบังคับให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ มาเป็นแผนที่ 3 ที่กำหนดให้ลงมือในขณะที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เสด็จไปประทับที่หัวหิน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อและไม่ให้เป็นการกระทบกระเทือนต่อพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์เกินสมควร
ประกอบกับเมื่อได้อ่าน “เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475” ของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ปูชนียบุคคลแห่งวงการนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ไทย ผู้ซึ่งองค์การ UNESCO ประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลของโลก พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวมุมหนึ่งของเหตุการณ์ 2475 ไว้จากการสัมภาษณ์พระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อปี พ.ศ. 2484 เราจะพบบันทึกในตอนที่ 16 ซึ่งบันทึกไว้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2484 เกี่ยวกับคำสั่งเสียของพระยาพหลฯ ที่ให้ไว้กับภรรยา มีใจความว่า
“ถ้าท่านทำการมิสำเร็จและต้องประสบอันตรายถึงแก่ชีวิตแล้วไซร้ อยู่ภายหลัง ขอให้คุณหญิงของท่านจงเป็นพยานแก่คนทั้งหลายว่า การที่ตัวท่านคิดการเปลี่ยนการปกครองแผ่นดินครั้งนี้ มิได้หมายจะช่วงชิงเอาราชบัลลังก์ หรือคิดจะล้มราชบัลลังก์แต่อย่างใดเลย ความมุ่งหมายจำกัดอยู่แต่เพียงว่า ให้องค์กษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญและให้มีสภาการปกครองแผ่นดิน เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ผู้น้อยและประชาราษฎรได้แสดงความคิดเห็นในราชการบ้านเมืองได้บ้าง แทนที่พวกผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจจะผูกขาดการแสดงความคิดเห็นไว้แต่ฝ่ายเดียว โดยไม่ฟังความเห็นของผู้น้อยเลย ดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ซึ่งมีแต่จะชักนำบ้านเมืองไปสู่หายนะเท่านั้นเอง”
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ. 2475 ได้รับการเผยแพร่ตรงตามความเป็นจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเท่าที่ควรจะเป็น
เราควรใช้ทัศนะประวัติศาสตร์ไปเข้าใจและประเมินค่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ และควรแยกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนึ่งหรือช่วงหนึ่ง ออกจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อีกเหตุการณ์หนึ่งหรืออีกช่วงหนึ่ง เช่นเดียวกับที่เราจะต้องแยกบุคคลในประวัติศาสตร์ในช่วงชีวิตหนึ่งของเขา ออกจากในอีกช่วงชีวิตหนึ่ง หากช่วงหนึ่งของชีวิตเขาเป็นวีรชน แต่อีกช่วงหนึ่งไม่ใช่
จากเอกสารทางราชการที่ยังปรากฏให้เห็น จากบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ และจากบันทึกคำบอกเล่าที่ถ่ายทอดกันมาดังกล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ย่อมเห็นได้ว่า กรณี 2475 เป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คือระบอบการปกครองที่เรายอมรับและปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้
ใครที่โจมตี 2475 เขาต้องการอะไร ?
หรือเขาอยากจะล้มล้างระบอบการปกครองที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ?
และใครที่อ้างว่าจะสืบทอดภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จของ 2475 เขาต้องการอะไร ?
เมื่อ 2475 ได้ทำภารกิจของตนเสร็จสิ้นลงแล้ว และไม่เคยมีจุดมุ่งหมายจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นจึงไม่มีภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จของ 2475 ที่ใครจะต้องมาสืบทอดหรือทำต่อ
2475 เกิดขึ้นเพราะความห่วงใยประเทศชาติ
อยากสืบทอด 2475 ก็อย่าทำร้ายประเทศชาติ
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี