วันพฤหัสบดี ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
สถานการณ์รอบสัปดาห์ในอเมริกายังสับสนวุ่นวาย มีการประท้วงต่อเนื่องจากอาทิตย์ก่อน จากกรณีจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่เสียชีวิต ท่ามกลางโควิด 19 ที่ยังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหงในอเมริกา แต่ผู้ประท้วงก็ไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น ผู้เขียนจับตาดูจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มแต่ละวัน เห็นว่ารัฐที่มีการชุมนุมประท้วงเป็นขบวนใหญ่ทวีปริมาณผู้ติดเชื้อรายใหม่มากขึ้นอย่างชัดเจน
ยอดป่วยสะสมวันนี้อยู่ที่หนึ่งล้านหนึ่งแสนกว่าราย ส่วนคนตายนั้นหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นกว่าๆ รัฐที่มีผู้ป่วยสูงสุดห้าอันดับคือ รัฐนิวยอร์ก รัฐนิวเจอร์ซี่ รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐอิลลินอยส์ และรัฐแมสซาจูเซสส์ ซึ่งรัฐพวกนี้ยืนหนึ่งในห้ามาตลอด พอเกิดการประท้วงยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างชนิดที่นึกไม่ออกว่าจะมีวันไหนบ้างที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่จะลดลง มีการคาดการณ์ว่าจำนวนคนตายจะไปถึงสามแสนคนในช่วงเดือนกันยายน หลังจากนั้นจะเป็นช่วงวิบัติอีกรอบ ไม่อยากเรียกว่าระลอกสอง เพราะระลอกแรกยังเปี่ยมปริ่มทุกวัน
การประท้วงยังดำเนินต่อไป อึมครึมทั้งประเทศ ที่หนักหนาสาหัสคือตำรวจฆ่าคนผิวดำอีกราย หนนี้เกิดที่แอตแลนต้า หนุ่มผิวสีวัย 27 ปี ชื่อ “เรย์ชาร์ด บรูกส์” ถูกตำรวจผิวขาวในเมืองแอตแลนตายิงจากข้างหลังจนเสียชีวิต
ชายคนนี้เผลอหลับ ก็คงจะเมาหลับนั่นแหละ ขณะรอคิวซื้ออาหารจากร้านเวนส์ดี้ ซึ่งขายแฮมเบอร์เกอร์เป็นหลัก พอหลับก็ไม่ขยับรถ คนอื่นเลยบีบแตรโวยวายใส่ ตำรวจเลยมาดู ปรากฎว่ามีปริมาณแอลกฮอล์เกินพิกัด ตำรวจเลยใส่กุญแจมือ แต่ชาวผิวสีรายนี้แย่งปืนช็อตไฟฟ้าแล้ววิ่งหนี ตำรวจเลยยิงจากด้านหลังจนตาย นับเป็นการทำเกินกว่าเหตุมาก นำไปสู่การเผาร้านเวนส์ดี้ที่เกิดเหตุ
เหตุการณ์นี้ยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟในหมู่ผู้ประท้วงทั่วอเมริกา และลุกลามบานปลายถึงการทำลายรูปปั้นตามเมืองต่างๆ ส่วนมากแล้วเป็นวีรบุรุษยุคสงครามกลางเมืองของทหารฝ่ายใต้ ผู้เขียนเคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในอเมริกาไว้ 2 เล่ม คือ สงครามกลางเมืองอเมริกาและสมรภูมิเก็ตตี้สเบิร์ก พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ยิปซี ด้วยความสนใจศึกษาเรื่องสงครามกลางเมืองอเมริกามานาน เห็นการลุกลามใหญ่โตแล้วถอนใจ เพราะจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองอเมริกาไม่ได้เกิดจากปัญหาทาสผิวดำอย่างเดียว หากแต่เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความต้องการขยายดินแดนไปทางฝั่งตะวันตก ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการเมือง การปลดปล่อยและมอบเสรีภาพให้ทาส เป็นแค่สโลแกนหาเสียงโกยคะแนนนิยมให้พรรคตนเองเท่านั้น เพราะแม้จะสิ้นสุดสงครามกลางเมือง ทาสผิวสีก็ยังไม่ได้รับความเท่าเทียมกับคนผิวขาวอย่างแท้จริง
การทำลายรูปปั้นนายพลคนนั้นคนนี้ถือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจความเก็บกดโกรธแค้นของคนผิวดำ หากศึกษาประวัติศาสตร์อเมริกาดีๆ อย่างลึกซึ้ง คงจะไม่ทำลายรูปปั้นนายพลเหล่านั้น ขอยกกรณีนายพลลี

รูปปั้นวีรบุรุษแห่งสมพันธรัฐอย่างนายพลโรเบิร์ต อี ลี ไม่สมควรถูกทำลาย นายพลลีไม่เคยเห็นด้วยกับการทำสงครามกลางเมือง ก่อนเกิดสงครามกลางเมือง นายพลลีมีบ้านหลังงามอยู่ในวอชิงตันและสวนกุหลาบอันลือชื่อ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสุสานอาร์ลิงตัน พอรัฐฝ่ายใต้ประกาศสงครามกับรัฐฝ่ายเหนือ มีการเรียกนายพลลีให้กลับไปเป็นแม่ทัพที่บ้านเกิดที่รัฐเวอร์จีเนีย ซึ่งจัดเป็นรัฐทางใต้ แถมเป็นรัฐสำคัญในเวลานั้นเพราะเป็นรัฐที่ตั้งเมืองหลวงของกองทัพฝ่ายใต้
ตอนนั้นนายพลลีจะไม่ไปช่วยรบก็ได้ เพราะลงหลักปักฐานในวอชิงตันแล้ว สุดท้ายก็จำเป็นต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในวอชิงตันไปทำหน้าที่ หลังสงครามกลางเมืงอันยาวนาน นายพลลีเป็นคนเซ็นต์สัญญาขอสงบศึกสงครามกลางเมือง หลังสงครามแล้วเป็นอาจารย์ที่มักสอนเรื่องความโหดร้ายของสงครามจนสิ้นชีวิต นี่เป็นเหตุผลที่ไม่มีใครควรทำลายรูปปั้นนายพลลี แต่ก็ไม่พ้นการถูกทุบทำลายในที่สุด
การทำลายล้างลามไปถึงรูปปั้นของคริสต์โตเฟอร์ โคลัมบัส ประท้วงในรัฐเวอร์จิเนียรื้อถอนรูปปั้นคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในริชมอนด์ เอาธงชาติคลุมแล้วจุดไฟเผา ก่อนลากไปโยนลงบึง ผู้ประท้วงในเมืองบอสตันตัดหัวอนุสาวรีย์คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นอกจากที่บอสตันแล้ว อนุสาวรีย์โคลัมบัส ด้านนอกของอาคาสภาประจำรัฐมินนิโซตา ก็ถูกผู้ประท้วงใช้เชือกคล้องรอบคอ ลากจนล้มโค่นลงมา ขณะที่ในเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา อนุสาวรีย์โคลัมบัสที่นั่นได้ถูกผู้ประท้วงนำสีแดงมาทา
วางขวดกาวในมือลงก่อนดีไหม กลับไปอ่านประวัติศาสตร์อีกทีก็ได้ โคลัมบัสไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับคนผิวดำเลย หากแต่เกี่ยวข้องกับอินเดียนแดงต่างหาก แถมแผ่นดินที่โคลัมบัสค้นพบก็ไม่ใช่แผ่นดินที่เรียกว่า “อเมริกา” ในปัจจุบัน แต่เป็นเกาะที่เรียกว่า “เกาะบาฮามาส” ตอนนั้นโคลัมบัสเรียกเกาะบาฮามาสว่า “ซาน ซัลวาดอร์” (San Salvador) แปลว่า “พระเจ้าช่วย” ประเด็นที่ต้องการจะสื่อคือเรื่องราวของโคลัมบัสมีความสัมพันธ์กับอินเดียนแดงในหมูเกาะบาฮามาส ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนผิวดำเลย
ความโกรธแค้นนั้นเหมือนไฟลามทุ่ง กระพือโหมไปทั่วจนข้ามทวีปไปถึงยุโรป มีการทำลายรูปปั้นเช่นกัน เช่น อนุสาวรีย์ของเอ็ดเวิร์ด โคลสตัน พ่อค้าทาสในศตวรรษที่ 17 ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองบริสตอล ถูกผู้ประท้วงลากดึงโค่นลงมา และนำไปทิ้งลงน้ำบริเวณท่าเรือบริสตอล เรื่องนี้ก็เข้าใจได้ เพราะทาสผิวดำถูกจับมาขาย แต่โคลัมบัสนี่ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าทำลายไปทำไม
ประธานาธิบดีมาครงแห่งฝรั่งเศสจับตามองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แล้วลั่นปากว่า ฝรั่งเศสจะไม่ลบล้างทำลายเสี้ยวประวัติศาสตร์ของตนเอง นั่นถือว่าถูกต้องแล้ว ประวัติศาสตร์คืออดีต คือสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านมาแล้ว หากยังนำมาเป็นเชื้อจุดไฟขยายประเด็น ไทยกับพม่าคงยังมองหน้ากันไม่ติด จีน ญี่ปุ่น เกาหลีคงเขม่นกันและไม่อาจร่วมมือตกลงอะไรกันได้ หรืออเมริกากับญี่ปุ่น หากยังแค้นเคืองต่อกันเรื่องฮิโรชิม่า ก็คงลำบากใจกันด้านการทูต
ถ้ายังบ้าไม่เลิก กล้าๆ หน่อย ย้อนอดีตไปถึงก่อนที่คนผิวขาวจะมาลงหลักปักฐานบนแผ่นดินอเมริกาเลยเป็นไง แบบนี้สมควรคืนแผ่นดินและจ่ายค่าเสียหายก้อนโตชดเชยคืนให้เจ้าของแผ่นดินตัวจริงด้วยนะ
ประวัติศาสตร์มีไว้เพื่อศึกษาเป็นบทเรียน เพื่อไม่ให้เราทำลายกันในปัจจุบันและอนาคต แม้จะเห็นใจคนผิวสีที่ถูกปฎิบัติอย่างไม่เท่าเทียม แต่ไม่ได้หมายความคนเหล่านั้นจะทำให้ชีวิตตัวเองมีค่าและมีความหมายไม่ได้ คุณค่าของคนอยู่ที่การกระทำให้ตนเองมีค่าต่อสังคม ไม่ใช่การเรียกร้องโวยวายให้ใครเห็นคุณค่า

'ดร.ส้ม' ลั่นไม่เคยเคลมผลงานใคร ยันลุยดัน กม.คุกคามทางเพศมาตั้งแต่ปี62
มีหนาว! คุกคามทางเพศผ่านโซเชียลมีเดีย มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ฉบับใหม่ กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ผู้ใหญ่บ้าน
สุริยะใส ย้อนเกล็ด เลือกตั้ง ไม่เอาลุง ครั้งนี้ ไม่เอาเทา คงได้ รัฐบาลเทวดา
แฉทุนจีนแย่งอาชีพคนไทย รุกธุรกิจเผาถ่านกะลามะพร้าว ทำผู้ประกอบการไทยเดือดร้อน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี