วันที่เขียนต้นฉบับคอลัมน์นี้เป็นวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ ซึ่งเป็นวันหยุดในอเมริกา วันที่โลกระลึกถึงดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ จูเนียร์ ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพผิวสี แต่เป็นนักเคลื่อนไหวแนวสันติวิธี หลายคนอาจจะงงว่า แล้วแบบไม่ใช่สันติวิธีล่ะ มีไหม ช่วงเวลาไล่ๆ กันนั้นมีนักเคลื่อนไหวอีกกกลุ่มที่เรียกร้องความเท่าเทียมให้คนผิวสี แต่เน้นแนว “ระเบิดภูเขาเผากระท่อม” นั่นคือพวกแบล็คแพนเตอร์ ที่สู้กลับด้วยความรุนแรง
ผู้เขียนพูดคุยกับคนอเมริกันอายุระหว่าง 40-70 ปีหลายคน ถึงเรื่องราวความแตกแยกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทุกคนทุกช่วงวัยยอมรับว่า ไม่เคยเจอเหตุการณ์ความร้าวฉานแตกแยกรุนแรงขนาดนี้มาก่อนในช่วงชีวิตของตนเอง แม้จะมีความขัดแย้งระหว่างสีผิวบ้างในอดีตที่ผ่านมา นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกคนยอมรับว่าตกใจกับเหตุการณ์อาทิตย์ก่อน ที่ผู้สนับสนุนลุงผมเป๋บุกเข้าไปในรัฐสภา และตาลุงผมเป๋สร้างบันทึกหน้าใหม่ในประวัติศาสตร์อเมริกา ด้วยการเป็นประธานาธิบดีที่ถูกเสนอให้ถอดถอนหรืออิมพีชเมนต์ถึงสองหน เรื่องนี้ไม่เคยปรากฎในประวัติศาสตร์อเมริกันมาก่อน หากมีเวลาจะเขียนเล่าถึงประวัติศาสตร์การถูกถอดถอนประธานาธิบดีอเมริกันด้วย
สถานการณ์ตอนนี้ในอเมริกาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นของฝ่ายของผู้สนับสนุนทรัมป์ และอึมครึมหวาดหวั่นของคนทั่วไป เพราะดูทรงแล้วทรัมป์จะสั่งลุยทิ้งทวน ก่อนสะบัดก้น ลุกจากเก้าอี้ประธานาธิบดี แถมเจ้าตัวเองไม่ยอมอยู่ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโจ ไบเดน ปล่อยให้ไมค์ เพนซ์รับหน้าเสื่อไปตามยถากรรม
นาทีนี้ทหารในกองกำลังรักษาชาติ (เนชั่นแนลการ์ด) สองหมื่นห้าพันนาย ประจำการณ์ปกป้องรัฐสภาและพื้นที่ข้างเคียงอย่างเข้มงวด กำลังพลจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิหลายร้อยนายต้องหลับนอนบนทางเดินของอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าเป็นครั้งแรกที่ทหารมาปักหลักค้างคืน ณ ที่แห่งนี้ นับตั้งแต่คราวเกิดสงครามกลางเมือง แน่นอนว่าต้องมีการสกรีนทหารเหล่านี้อย่างดี ใครมีแนวโน้มจะรักใคร่เชิดชูตาลุงผมเป๋ อาจจะไม่ผ่านการคัดกรอง เพราะทหารตำรวจในอเมริกาเอียงข้างทรัมป์เพียบ เมืองหลวงทุกรัฐตระเตรียมกำลังพลปกป้องเตรียมรอรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะมีการส่งสัญญาณให้โจมตีเมืองหลวงทั้ง 50 รัฐ ล่าสุด กลุ่มสนับสนุนทรัมป์พร้อมปืนโผล่ประเดิมที่เมืองแลนซิ่ง รัฐมิชิแกน มีโผล่มาประปรายอีกไม่กี่รัฐก่อนหน้าวันศึกวันทรงชัยตามที่นัดแนะกัน เช่น ไปโผล่ที่รัฐโอไฮโอ เท็กซัส และออริกอน นอกเหนือจากที่มิชิแกน นอกจากนี้บรรดาสาวกทรัมป์ที่บุกรัฐสภาวันก่อนต่างถูกดำเนินคดีไปตามกัน
ความวุ่นวายขนาดพลเมืองแบ่งข้างเป็นสองฝั่ง ถือหางนักการเมืองด่าทอกันเองนี้ ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อเมริกัน เรื่องนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเป็นหนแรก แต่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าแล้ว นับย้อนหลังไปเป็นร้อยปีเลยทีเดียว คือย้อนกลับไปในยุคก่อนจะเกิดสงครามกลางเมือง
ก่อนที่อเมริกาจะกลายมาเป็นประเทศอย่างทุกวันนี้ แรกเริ่มเดิมทีมีสภาพเพียงอาณานิคมกระจอกงอกง่อยที่กระจายตัวกันอยู่หลวมๆ ตามพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกรวมตัวกันเรียกว่า “สิบสามอาณานิคม” ต่อมาจอร์จ วอชิงตันนำกองกำลังเข้าตะลุมบอนกับทหารอังกฤษจนอังกฤษพ่ายแพ้แล้วประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกนั้น แน่นอนว่า อาณานิคมทั้งสิบสามแห่งได้พลอยแต่งหน้าทาปากเลื่อนขั้นขึ้นเป็น 13 รัฐแรกในอเมริกา
หลังจากนั้นก็มีการขยายขอบเขตออกไปเรื่อยๆ จนมีทั้งหมด 34 รัฐ และแบ่งเป็นรัฐเสรี 19 รัฐ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศและรัฐทาส 15 รัฐ ทางตอนใต้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะในยุคนั้น ดินแดนทางตอนเหนือเป็นที่ตั้งของอุตสหกรรมขนาดหนัก มีการก่อสร้างโรงงานมากมาย ส่วนรัฐทางตอนใต้เป็นโซนเพาะปลูก โดยเฉพาะการปลูกฝ้ายและยาสูบ จึงอ้างว่าจำเป็นต้องใช้แรงงานทาสมาช่วยในการทำงาน จึงเกิดรัฐทาสและรัฐไร้ทาส ตามมา
นอกจากนี้มีการขยายประเทศไปทางฝั่งตะวันตก และเป็นจุดที่เกิดกรณีขัดแย้ง รัฐทางเหนือซึ่งเป็นรัฐเสรี ไม่อยากให้รัฐที่จะเกิดขึ้นใหม่ในดินแดนตะวันตกเป็นรัฐที่มีทาส แต่ขณะเดียวกัน รัฐทางใต้ซึ่งเป็นรัฐค้าทาส ก็อยากให้แผ่นดินตะวันตกกลายเป็นรัฐค้าทาสไปด้วย เพราะความไม่อยากตกเป็นเบี้ยล่างรัฐทางเหนือเพราะหากรัฐเกิดใหม่ในดินแดนตะวันตกกลายเป็นรัฐเสรีไม่มีทาส และอาจจะทำให้เกิดไอเดียว่าควรยกเลิกการค้าทาสในทุกรัฐ นั่นหมายถึงความล่มสลายของรัฐทางใต้ที่มีการค้าทาสนั่นเอง เพราะทาสที่ตนครอบครองจะกลายเป็นไท หากใครยังอยากทำงานในฟาร์มอยู่ นายทาสต้องจ่ายค่าจ้าง ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่ายในการผลิตจะเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลุงแซมฝ่ายใต้จึงถลกแขนเสื้อแล้วถ่มยาเส้นดังปริ๊ด ก่อนลอยหน้าเท้าสะเอวบอกรัฐทางเหนือว่า กู เอ๊ย ไอไม่ยอมนะเว้ย
นักการเมืองรุ่นดึกดำบรรพ์จึงชูประเด็นต่อต้านการมีทาสในดินแดนทางตะวันตก เพื่อสร้างโอกาสให้ตนได้รับเลือก พรรคการเมืองได้นำนโยบายเรื่องเลิกทาสไปหาเสียง พรรครีพับลิกัน (สมัยนั้น) นำเสนอพี่โย่ง อับราฮัม ลินคอล์น เข้าเป็นตัวเต็งในการชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี แต่อย่านึกว่าพรรคเดโมแครตจะไม่ฉวยจังหวะนี้ เพราะชูประเด็นเดียวกันเป๊ะในการหาเสียงในช่วงเวลานั้น
อับราฮัม ลินคอล์น ได้เป็นประธานาธิบดี เพราะพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง ช่วงที่กำลังมีการแต่งตั้งอับราฮัม ลินคอร์นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 นั้น เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ขึ้นในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1861 รัฐทาสฝ่ายใต้ 7 รัฐรวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐ และประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐอเมริกาทันที พูดง่ายๆ ว่าเรียกว่าลองของประธานาธิบดีคนใหม่ ตั้งแต่ก้นยังไม่ทันแตะเก้าอี้เลยทีเดียว
การที่รัฐทาสทั้ง 7 ทำแบบนี้ เหมือนเป็นการท้าทายกันซึ่งหน้า ราวกระตุกหนวดประธานาธิบดีใหม่หมาดอย่างชัดเจน แถมมีการแต่งตั้งเจฟเฟอร์สัน เดวิด อดีตวุฒิสมาชิกรัฐมิสซิสซิปปี้เป็นประธานาธิบดีซ้อนขึ้นมา โดยทำหน้ามึนไม่ยอมรับอำนาจของรัฐทางเหนืออีกต่อไป มิหนำซ้ำยังประกาศใช้รัฐธรรมนูญของตัวเองอีกต่างหาก ส่วนเฮียอับราฮัมในเวลานั้นยังทำอะไรไม่ได้มาก เพราะยังอยุ่ในช่วงการแต่งตั้ง
เมื่อลินคอล์นสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 4 มีนาคม คศ.1861 รัฐบาลของรัฐฝ่ายเหนือซึ่งเรียกตัวเองว่า “สหภาพ” หรือ Union ก็ประกาศปังดังลั่นว่า ไม่ยอมรับการแยกตัวเป็นอิสระของสมาพันธรัฐอเมริกา
รัฐบาลฝ่ายสหภาพ นอกจากไม่ยอมรับสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ ประกาศทันทีว่าสมาพันธ์ฝ่ายใต้เป็นกบฎ เอาซี้...ท้าทางกันแบบนี้พี่ยอมไม่ได้ แต่ฝ่ายใต้เองก็อ้างว่า พวกตนมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการแยกประเทศ เมื่อไม่พอใจที่จะอยู่ร่วมกัน ก็คอนเวิร์ดออลสตาร์หรือทางใครทางมันไปสิวะ ดังนั้นสมควรที่จะได้รับสิทธิ์ในการแยกตัวได้เช่นกัน
ทั้งหมดนี้คือการเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้ บาดเจ็บล้มตายกันเป็นล้าน อเมริกันรบกันเองยาวนานหลายปี หลังสงครามเกิดองค์กรล่าคนผิวดำที่เรียกว่าคูคลักแคลนซ์ขึ้น ซึ่งเชื้อความเกลียดชังระหว่างสีผิวยังไม่หมดสิ้นไปจากสังคมอเมริกัน ดังปรากฎเป็นข่าวให้ได้เห็นอยู่เสมอในปัจจุบัน ในฐานะคนนอก ได้แต่จับตามองสถานการณ์ในบ้านลุงแซมอย่างกังวล และภาวนาว่าอย่าให้ลุกลามกลายเป็นสงครามกลางเมืองอีกครั้งเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี