จริงๆ แล้ว ผู้เขียนอยากเขียนอัพเดทเล่าเรื่องราวและสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอเมริกาแต่ละอาทิตย์มากกว่า แต่จำเป็นต้องเขียนถึงขบวนการใช้วัคซีนของอเมริกันมาใช้ด้อยค่าประเทศ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทำอย่างเป็นระบบโดยมีการขยายผลผ่านเครือข่ายมากมาย ส่วนใครเป็นคนบางการอยู่ข้างหลัง สามารถมองเห็นได้ไม่ยาก
ผลของกระบวนการนี้คือทำให้คนหวาดกลัวไม่เชื่อมั่นในวัคซีนที่รัฐบาลไทยจัดการมาบริการ เพราะฝังหัวว่าจะต้องฉีดไฟเซอร์จากอเมริกาแต่เพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้น
ขบวนการใช้วัคซีนอเมริกัน ซึ่งเน้นไปที่ไฟเซอร์ แยกเป็นหลายสายหลายทาง อย่างที่เคยอธิบายไปแล้วว่า มีการว่าจ้างในทางลับให้บรรดาเนตไอดอลและยูทูบเบอร์ที่มีคนติดตามหลักล้าน โดยทุกคนมีแนวคิดร่วมกันคือไม่ชอบรัฐบาลชุดนี้ และสนับสนุนม็อบสามนิ้วแบบเปิดเผยและแอบหนุน โดยมีการจัดทริปไปฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในอเมริกา แยกเป็นสองสายคือบินไปแอลเอ ดูแลโดยทอม เครือโสภณ กับบินไปนิวยอร์ก ซึ่งปวินบินไปสิงที่นั่นระยะหนึ่งแล้ว
แม้เจ้าตัวอ้างว่าบินมาฉีดไฟเซอร์ในอเมริกา ก็ยิ่งน่าแปลกใจ เพราะญี่ปุ่นก็ฉีดไฟเซอร์ให้พลเมืองของตน ไม่จำเป็นต้องบินมาอเมริกาเลยด้วยซ้ำ แถมเมื่อเนตไอดอลเหล่านี้บินไปนิวยอร์ก ก็มีการถ่ายรูปคู่ปวินกันอย่างสนุกสนาน
เนตไอดอลทั้งหมดล้วนนั่งบิสสิเนสคลาส แถมบางคนไม่เคยไปอเมริกามาก่อนในชีวิต แต่กลับได้วีซ่ามาอย่างง่ายดาย ทั้งที่วีซ่าอเมริกาเป็นวีซ่าที่ขอยากมากที่สุด คนที่เคยไปขอวีซ่าอเมริกาจะรู้ดีกว่ายากเย็นขนาดไหน
จุดที่น่าสงสัยอีกจุดคือ ทุกคนจะใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน เช่น เสร็จไวใน 5 นาที ไฟเซอร์เป็นวัคซีนที่ดีที่สุด ฉันมั่นใจวัคซีนไฟเซอร์ ที่สำคัญคือจะต้องมีการด้อยค่ารัฐบาลและประเทศไทย เหมือนเป็นแพทเทิร์นที่ทุกคนต้องพูดตอนถ่ายคลิป
นอกจากใช้เนตไอดอลแล้ว ยังใช้นักการเมืองในคอกของตัวเอง อาทิตย์ก่อนเขียนเล่าว่า หมอทศพร เสรีรักษ์ พรรคเพื่อไทยออกมายื่นจดหมายถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผ่านทางสถานทูตอเมริกัน หลักใหญ่ใจความคืออวยอเมริกาว่ามีระบบจัดการที่ดีกว่าไทย เพราะเป็นประเทศประชาธิปไตย รัฐบาลประเทศไทยเป็นเผด็จการ จึงจัดการดูแลประชาชนในภาวะวิกฤติโควิดระบาดได้ไม่ดี เท่าประเทศเสรีประชาธิปไตยอย่างอเมริกา
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนร่างจดหมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้หมอทศพรไปยื่น เพราะมีการกล่าวอ้างลอยๆ ปราศจากตรรกะอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะจดหมายในภาคภาษาอังกฤษ นอกจากจงใจด้อยค่าประเทศไทยแล้ว ยังลากอินเดียกับพม่ามาเชื่อมโยงโดยไม่จำเป็นอีกด้วย เรื่องนี้อาจสร้างความบาดหมางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
อาทิตย์นี้จะเขียนถึงเรื่องนี้เป็นตอนสุดท้าย ทั้งที่กระบวนการเกี่ยวกับการใช้วัคซีนอเมริกันด้อยค่าประเทศไทยยังชำแหละได้อีกหลายตอน น่าเสียดายที่กระบวนการนี้ทำสำเร็จ เพราะคนไทยส่วนหนึ่งเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจว่า วัคซีนจีนเป็นวัคซีนที่คุณภาพต่ำ ทั้งๆ ที่ประเทศจีนใช้ซิโนแวคและซิโนฟาร์มฉีดให้ประชาชนในประเทศตนจนยอดคนป่วยไม่เพิ่ม และหากรวมยอดจริงๆ ก็น้อยกว่ายอดคนป่วยในประเทศไทยอีก แถมตอนนี้จีนเปิดประเทศได้อย่างเต็มที่ ไม่มีคนป่วยเพิ่ม และสามารถจัดงานใหญ่ๆ โดยไม่ต้องใส่หน้ากากได้แล้ว
คนไทยส่วนหนึ่งเชื่อว่า รัฐบาลไทยจะต้องเอาไฟเซอร์มาให้ฉีด ไม่เช่นนั้นจะไม่ยอมฉีดวัคซีนตัวอื่น หากไม่ได้ไฟเซอร์ ความเชื่อนี้ฝังหัวคนทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงกรรมกร แม่ค้าตลาดนัด ชาวบ้านชนบท ที่ร่ำร้องเรียกหาแต่วัคซีนไฟเซอร์ ทั้งๆ ที่ประเทศอื่นๆ ในโลกที่สั่งซื้อไฟเซอร์จากอเมริกา ก็ยังไม่ได้ไฟเซอร์มาบริการในประเทศตนเอง น่าเศร้าที่เรามีวัคซีนในมือ แต่กลับเรียกร้องหาวัคซีนที่ยังมาไม่ถึง
มาดูกันว่านอกจากใช้เนตไอดอลและนักการเมืองในคอกบางคอกแล้ว ตัวบงการยังใช้สื่อนอกเขียนคอลัมน์และบทความโจมตีการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลไทย โดยมีสื่อมวลชนไทยบางส่วนรองับข่าวจากสื่อนอกไปเผยแพร่ต่อในประเทศไทยในวงกว้าง ผ่านทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย จะว่าไปกลวิธีนี้ก็เป็นกลวิธีเก่าๆ ที่เรียกว่า “โลกล้อมไทย” พูดเท่านี้ก็คงพอจะรู้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังเกมนี้
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีบทความขนาดยาวบทความหนึ่งลงตีพิมพ์ใน The New York Times เขียนโดย Hannah Beech ขอให้จำชื่อนี้ไว้ให้ดี เพราะถ้าสืบค้นรายละเอียดเกี่ยวกับนักข่าวรายนี้ จะเห็นความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับขบวนการบางอย่าง โดยจอมบงการมีการจ้างนักวิชาการในคอกอย่างปวิน และสื่อฝรั่งไว้เพื่อการนี้
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นเจ้าของบริษัทพีอาร์ในอเมริกา นอกเหนือจากการเขียนคอลัมน์ให้สื่อไทย ทำให้มองเห็นความเคลื่อนไหวในลักษณะการจ้างพีอาร์ผ่านสื่อในอเมริกา หากสังเกตดูดีๆ จะพบว่าปวินจะมีบทความตีพิมพ์ในสื่ออเมริกาบางสื่อบ่อยๆ ก่อนหน้าบทความของ Hannah Beech เมื่อต้นเดือน ปวินก็เคยเขียนโจมตีสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง ลงตีพิมพ์ในสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง เดอะ วอชิงตันโพสต์ ซึ่งบทความที่ปวินเขียนจะอยู่ในส่วนที่เรียกว่า “Opinions” ซึ่งใครก็สามารถเขียนส่งไปลงได้ แต่บอกเลยว่าหากปราศจากล็อบบี้ยิสต์คอยชง โอกาสการได้ลงตีพิมพ์ในสื่อวอชิงตันโพสต์มีน้อยมาก
งานล็อบบี้ยิสต์ด้านสื่อคือ เมื่อมีผู้ว่าจ้างให้โปรโมทหรือเผยแพร่พีอาร์สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะมีการตกลงว่า ล็อบบี้ยิสต์จะสามารถเผยแพร่ข่าวหรือบทความ ลงในสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออื่นเป็นจำนวนกี่ชิ้นต่อเดือนหรือต่อสามเดือน ตามแต่จะตกลงว่าจ้างกัน
กรณีที่ปวินมีงานตีพิมพ์ในสื่ออย่างวอชิงตันโพสต์ เป็นไปตามกลไกของการทำงานล็อบบี้ยิสต์ ตามการว่าจ้างที่ตกลงไว้ล่วงหน้าแล้ว กรณีบทความของ Hannah Beech ก็ไม่แตกต่างไปจากนี้ เพียงแต่ “จ้าง” นักข่าวในสำนักข่าวนั้นเขียนโดยตรงนั่นเอง
หากกูเกิ้ลสืบค้นชื่อนี้จะเห็นว่า Hannah Beech เขียนบทความสนับสนุนแนวคิดของกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มสามนิ้วมาโดยตลอด มีการกล่าวหาโจมตีรัฐบาลด้วยคำกล่าวอ้างเดิมๆ ซ้ำซาก เช่น รัฐบาลนี้เป็นเผด็จการ รัฐประหาร เขียนตามหาวันเฉลิมที่ถูกอุ้มหายในเขมร จนล่าสุดเขียนโจมตีรัฐบาลไทย โดยใช้คำกล่าวหาที่เรียกได้ว่าเป็นแพทเทิร์น คือ โจมตีว่าชนชั้นสูงในไทยทำให้คนจนเดือดร้อน ยังเวียนว่ายกับวาทกรรม “คนรวย” “คนจน” “เผด็จการ” “รัฐประหาร” คำต่างๆ เหล่านี้เป็นชุดคำที่เห็นได้ทั่วไปในหมู่ที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย”
ทุกครั้งที่ชื่อเธอปรากฎ มักอยู่ในบทความที่เป็นขั้วตรงข้ามกับรัฐบาลไทยทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้คือเมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2020 เธอเขียนบทความลงในนิวยอร์กไทม์ชื่อ The Feared Law to Protect the Monarchy หรือแปลไทยง่ายๆ ว่า “กฎหมายแห่งความหวาดหวั่นเพื่อพิทักษ์สถาบันกษัตริย์” ส่วนเนื้อหาก็คงเดาได้ว่า เธอเขียนแบบไหนอย่างไร บทความที่เธอเขียน ได้รับการเผยแพร่ต่อ โดยสำนักข่าวสายสนับสนุนม็อบ สายแดงสายส้ม สายล้มเจ้า แน่นอนว่าข่าวสด มติชน ไม่เคยพลาด ลากยาวไปถึงเพจและเวบต่างๆ อย่างแพร่หลาย
ที่น่าขำไปกว่านั้นคือ นักข่าวคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเริ่มระบาดหนแรก เธอยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย พาหมาตัวโปรดไปเข้าร้านตัดขน ตอนนั้นไม่เห็นว่าเธอจะโจมตีการจัดการบริหารวัคซีนของไทยแต่อย่างใด ทั้งที่ในเวลานั้นโควิดระบาดอย่างรุนแรงทุกหัวระแหงในโลก
หนนี้เธอลากโยงไปถึงขนชั้นสูงสู่ชนชั้นล่าง จากคริสตัลคลับทองหล่อมาถึงสลัมคลองเตย ว่าเพราะชนชั้นสูงเหล่านี้แหละ ที่เป็นตัวการการแพร่ระบาดรอบล่าสุด น่าแปลกใจ การระบาดหนก่อนหน้านี้ เริ่มจากหญิงหากิน แรงงานต่างด้าว และเซียนพนันที่ข้ามไปมาระหว่างไทย-พม่า ซึ่งจะว่าไปก็คือไม่ใช่ชนชั้นสูง ทำไมเธอไม่เขียนกล่าวหาโจมตีบ้าง ไม่ต้องสงสัยว่าแรงจูงใจในการเขียนบทความแบบนี้จะมีการนำไปใช้โดยคนกลุ่มใดและสื่อหลักสื่อออนไลน์แนวไหน เชื่อว่าทุกคนคงหาคำตอบได้แล้วในเวลานี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี