จะว่าไปแล้วบ้านเรามีความเชื่อมากมาย เช่น เวลาจิ้งจกทักอย่าออกจากบ้าน ถือว่าเป็นลางร้ายหรือนกแสกเกาะหลังคาบ้านถือเป็นความหายนะ เพราะจะมีคนตายห้ามเผาศพวันศุกร์หรือห้ามตัดผมวันพุธอย่าว่าแต่เมืองไทยเลยที่มีความเชื่อเยอะแยะอันหาที่มาไม่ได้ชาติอื่นก็มีเหมือนกัน จะว่าไปนี่คงเป็นลักษณะร่วมของสากลโลกที่มีข้อห้ามในการปฎิบัติหรือไม่ปฎิบัติ แต่ไม่ได้เข้มงวดแบบกฎหมายหากเป็นไปตามแนวประเพณี

ประเทศที่มาอาศัยอยู่ยี่สิบปีอย่างอเมริกาก็มีความเชื่อประหลาดๆไม่ต่างไปจากชาติอื่นเหมือนกันแต่ก่อนจะเล่าเรื่องความเชื่อของมะริกันผิวขาวขอให้เกียรติเจ้าของแผ่นดินที่แท้จริงก่อนคืออินเดียนแดง

อินเดียนแดงในอเมริกามีความเชื่อเยอะแยะไปหมดความเชื่อบางอย่างได้รับการสืบทอดจนกลายเป็นความเชื่อสากลไปแล้ว

อย่างความเชื่อเรื่อง “ตาข่ายดักความฝัน” หรือ Dreamcatcherเพื่อดักจับฝันร้าย โดยเก็บไว้แต่ฝันดี

ตาข่ายดักฝันนี้นำกิ่งต้นวิลโลว์มาขดเป็นวงกลมแล้วถักทอตาข่ายลงไปในวงกลม ประดับด้วยขนนก

เพราะเชื่อว่า “ขนนก” เป็นสัญลักษณ์ของ “อากาศ” และ “ลมหายใจ”ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตอยู่

อินเดียนแดงเชื่อว่าใยแมงมุมสามารถดักจับได้ทุกอย่างเพราะฉะนั้นต้องดักจับความฝันได้เช่นกันจึงมักแขวนตาข่ายดักความฝันไว้เหนือเปลเด็กเพราะเชื่อว่านอกจากจะดักจับฝันร้ายแล้วขนนกยังนำอากาศโปร่งสบายและโชคดีมาให้เด็กๆ ด้วย

ส่วนความเชื่อแบบคนผิวขาวในอเมริกามักเป็นความเชื่อที่มีต้นเค้ามาจากศาสนาเป็นหลัก เช่นหากใครสักคนจามในที่สาธารณะ จะต้องมีใครสักคนแถวนั้นกล่าวว่า

“Bless you”

มะริกันเชื่อว่า การจามทำให้ประตูวิญญาณเปิด วิญญาณของเราอาจหลุดกระเด็นออกมาทางปากแล้ววิญญาณชั่วร้ายจะเข้าฉวยโอกาสเข้ามาสิงร่างได้เพราะฉะนั้นเลยต้องอาราธนาพระเจ้าให้มาอวยพรคนจามจึงเป็นที่มาของคำอวยพรว่า Bless you

หลายคนคงเคยเห็นในหนังฮอลลีวู้ดว่า เวลามีงานเลี้ยงทีไรโดยเฉพาะช่วงวันขอบคุณพระเจ้าจะต้องมีการจับกระดูกไก่งวงคนละข้างเพื่อเสี่ยงทาย กระดูกที่ว่านั่นคือ “กระดูกวิชโบน” (wishbone)เรื่องนี้มาจากความเชื่อว่าหากจับกระดูกคนละข้างแล้วขอพรจากนั้นให้กระชากพร้อมกัน ใครได้กระดูกชิ้นใหญ่กว่าหมายถึงจะได้สิ่งที่ขอไว้นั่นเอง

น่าแปลกที่หลายชาติมีความเชื่อเกี่ยวกับกระจกว่าการทำกระจกแตกคือเรื่องไม่เป็นมงคล ในอเมริกาความเชื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันกับภูติผีปีศาจ คนอเมริกันเชื่อว่าหากทำกระจกแตกจะโชคร้ายไปถึง 7 ปี

ส่วนคนอเมริกันในรัฐทางใต้เชื่อว่า กระจกคือสถานที่กักขังวิญญาณตามประเพณีของทางใต้นั้น เมื่อสมาชิกในบ้านเสียชีวิตลงต้องใช้ผ้าคลุมกระจกทุกบานในบ้านเพื่อที่วิญญาณคนตายจะได้เดินทางไปยังอีกโลกได้และไม่ถูกขังไว้ในเงากระจก

แต่ความเชื่อที่มีอิทธิพลในสังคมอเมริกันมากที่สุดคือความเชื่อเรื่องวันศุกร์ที่ 13 ความเชื่อนี้สืบเนื่องมาจากศาสนาอีกนั่นแหละเพราะวันนี้ตรงกับวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนหลังเสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้ายในคืนก่อนหน้า ร่วมกับอัครสาวกอีก 12คน

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ คนอเมริกันจำนวนมากเชื่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง บางคนถึงขั้นวิตกกังวลขึ้นสมอง กลายเป็น 'โรคกลัววันศุกร์ที่ 13' ที่เรียกว่า พาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย (paraskevidekatriaphobia) หรือโรคฟริกกาทริสไคเดคาโฟเบีย (friggatriskaidekaphobia) จากการศึกษาประเมินพบว่าคนอเมริกันเป็นโรคดังกล่าวถึง 21 ล้านคนหรือประมาณ 8% ของประเทศเลยทีเดียว

ศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันบำบัดอาการกลัวในเมืองแอชวิลล์มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ประเมินว่าแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ 13

อเมริกาสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินถึง 800-900 ล้านเหรียญทีเดียวเพราะมะริกันบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหน เนื่องจากกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13

การวิจัยจากหลายสำนักสรุปตรงกันว่า ความเชื่อเรื่องศุกร์ 13อาจเป็นความเชื่อที่แพร่หลายมากที่สุดในอเมริกาบางคนกลัวจริงกลัวจังถึงขนาดไม่ยอมออกไปทำงานในวันศุกร์ที่ 13เลยทีเดียว

แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเป็นความกลัวอย่างเดียวหรือบวกความสันหลังยาวเข้าไปด้วย

ที่มาของความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 มาจากเรื่องราวในไบเบิลวันนั้นเป็นวันที่พระเยซูทรงเสวยอาหารมื้อสุดท้ายหรือที่เรียกว่า The LastSupper นั้น มีผู้ร่วมโต๊ะเสวยทั้งหมด 13 คนนั่นคือรวมองค์พระเยซูและอัครสาวกทั้ง 12 คน

หลังจากอิ่มหนำจากอาหารมื้อนั้น พระองค์ถูกจับกุมโดยการทรยศของสาวกที่ชื่อ “จูดาห์”จากนั้นก็ถูกโรมันลงโทษด้วยการโบยแล้วนำไปตรึงบนไม้กางเขนในวันศุกร์ซึ่งชาวคริสต์เรียกว่าวันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) ดังนั้น เลข 13และวันศุกร์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความโชคร้ายยิ่งมาอยู่ด้วยกันแล้วยิ่งโชคร้ายเป็นทวีคูณกลายเป็นตำนานความเชื่อเกี่ยวกับศุกร์ 13 ในเวลาต่อมา