สำหรับใครหลายคนแล้ว โรงหนัง ไม่ใช่เพียงสถานที่สำหรับชมภาพยนตร์เท่านั้น แต่เต็มไปด้วยความทรงจำอันหลากหลาย คละเคล้าไปตามช่วงวันที่ผ่านผัน อาจเป็นฉากเริ่มของความรัก จูบแรกอาจเกิดขึ้นที่นี่และอาจมีน้ำตานอกจอ ทุกอณูความทรงจำอวลร่ำอยู่ในอาคารที่เรียกว่า “โรงหนัง”
โรงหนังคือความบันเทิงของชาวโลกมาช้านาน ส่วนนานแค่ไหนนั้นคงต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของการเกิดภาพยนตร์เลยนั่นแหละ ภาพยนตร์หรือที่เราเรียกกันติดปากสั้นๆ ว่า "หนัง” ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.2369 ซึ่งเป็นช่วงรัชกาลที่สาม โดยหนุ่มฝรั่งเศสชื่อ โจเซฟ เนียฟฟอร์ เป็นผู้ถ่ายภาพนิ่งและนำภาพนิ่งเหล่านั้นมาพัฒนาต่อยอด
ผู้ที่คิดค้นต้นแบบของหนังคือโทมัส อัลวา เอดิสัน กับเพื่อนร่วมงานชื่อวิลเลียม เคนเนดี้ ในปี พค.ศ.2432 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนนั้นเรียกเจ้าเครื่องมือหน้าตาประหลาดนี้ว่าเครื่องคิเนโตสโคป รัชกาลที่ 5 เป็นชาวสยามพระองค์แรกที่ได้ทอดพระเนตรภาพยนตร์จากเครื่องคิเนโตสโคปของเอดิสัน เมื่อครั้งเสด็จประพาสชวาและสิงคโปร์ในปี พ.ศ.2439 หรืออีก 7 ปีให้หลัง
ต่อมาพี่น้องชาวฝรั่งเศสตระกูลลูมิแอร์พัฒนา “ถ้ำมอง” ของเอดิสันให้ฉายขึ้นจอขนาดใหญ่เพื่อดูพร้อมกันหลายคน เครื่องฉายภาพยนตร์แบบนี้เรียกว่า "ซีเนมาโตกราฟ" คงต้องนับว่านี่คือจุดกำเนิดอย่างเป็นทางการของภาพยนตร์ ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2438 ในปีรุ่งขึ้น ภาพยนตร์เรื่องแรกของโลก "Arrival of a Train at La Ciotat" ออกฉายที่กรุงปารีส มีความยาว 50 วินาที ตั้งแต่ พ.ศ. 2439 มา คำว่า "ซีเนมา" จึงเป็นที่รู้จักกันดีจนปัจจุบัน
นับจากนั้นเป็นต้นมา การดูหนังกลายเป็นการพักผ่อนหย่อนใจของคนทั้งโลก ใครๆ ก็รู้ว่าศูนย์กลางการสร้างภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในอเมริกานี่เอง ชื่อ “ฮอลลีวู้ด” กลายเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ในหมู่เซียนหนังทั้งหลาย รวมถึงผู้ที่อยากเป็นดาราจอเงินมาจนถึงปัจจุบัน
โรงหนังแบบไดร์ฟอินเป็นที่นิยมของครอบครัวอเมริกันในอดีต ดูเหมือนว่าเคยมีในบ้านเราอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ได้รับความนิยม เลยปิดตัวไปเงียบๆ ต่างจากโรงหนังไดร์ฟอินในอเมริกาที่เฟื่องฟูมาหลายทศวรรษ จนแม้ในปัจจุบันยังพอมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างในบางรัฐ
พ่อหนุ่มอเมริกันหัวใสรายหนึ่งชื่อ ริชาร์ด โฮลิ่งเฮด คิดนวัติกรรมใหม่ในการดูหนัง โดยผสมผสานความเป็นครอบครัวและรถยนต์เข้าด้วยกัน เพราะช่วง พ.ศ.2476 วัฒนธรรมอเมริกันคือวัฒนธรรมของการอวดรถยนต์ โดยเฉพาะรถอเมริกันคันโตๆ ซึ่งการมีรถยนต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของอเมริกันดรีม นั่นคือมีบ้านหลังใหญ่ มีครอบครัว ลูกสามคน หมาอีกหนึ่งตัว รถยนต์สองคัน และภรรยาอยู่บ้านดูแลครอบครัว
ริชาร์ดมีพื้นฐานมาจากการทำธุรกิจรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว จึงประยุกต์ทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน โดยฉายภาพยนตร์ในรูปแบบโรงภาพยนตร์กลางแจ้งที่สามารถขับรถเข้ามาดูได้ และเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์แบบ “Drive-in” ครั้งแรก เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์
หนแรกคิดค่าบริการ 25 เซนต์ต่อรถ 1 คัน และเก็บค่าเข้าชมเป็นรายหัวอีกคนละ 25 เซนต์ด้วย สถานที่ฉายภาพยนตร์นั้น มีช่องจอดรถกว่า 400 คัน จอภาพยนตร์ใหญ่ยักษ์สูง 12x15 เมตร และฉายเรื่อง “Wife Beware” เป็นเรื่องแรก
เด็กอเมริกันรุ่นเก่ารู้จักสุนทรียรสของการดูหนังในโรงแบบไดร์ฟอินดี แถมเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น หนุ่มอเมริกันรุ่นกระทงเริ่มริขับรถ และพาสาวไปโฉบฉายที่โรงหนังไดร์ฟอินนี่แหละ เพราะได้โชว์รถกับอวดหญิงไปด้วยในตัว
ช่วงศตวรรษ 1960 ในอเมริกามีโรงหนังไดร์ฟอินอยู่ทุกหัวระแหง คือมีประมาณ 4000 แห่ง แต่ต่อมาวิดีโอทำให้โรงหนังทั้งไดร์ฟอินและโรงหนังขนาดใหญ่ขาดทุนยับเยิน เกิดธุรกิจเช่าวิดีโอมาดูที่บ้านแทน หลายคนคงเติบโตทันและรู้จักธุรกิจให้เช่าวิดีโออย่างบล็อคบัสเตอร์ดี ซึ่งเด็กๆ รุ่นหลังไม่รู้จักเสียแล้วว่าคืออะไร เพราะสูญพันธุ์ไปจากอเมริกาอย่างน่าเสียดาย ระบบสตรีมมิ่งเข้ามาแทนที่ ในยุคโน้นธุรกิจวิดีโอทำกำไรมหาศาล ทำให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ซบเซาไปตามกัน บางแห่งจึงต้องปิดตัวลง
โรงหนังไดร์ฟอินยังพอเหลือให้เห็นในอเมริกาบ้าง แต่น้อยอย่างน่าใจหาย เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ ทำให้เกิดจุดพลิกผันที่ทำให้คนดูต้องปรับเปลี่ยนไปรับความบันเทิงในช่องทางอื่น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี