ตอนนี้ในอเมริกาเต็มไปด้วยปมความขัดแย้งและความตึงเครียดจะไม่เครียดยังไงไหว ไม่ต้องดูอื่นใดไกลตัวน้ำมันแพงกระฉูดส่งผลกระทบต่ออเมริกันอย่างสาหัสเพราะนั่นหมายถึงเงินในกระเป๋าหายวับไปกับตาเมื่อวานนี้ผู้เขียนไปเติมน้ำมันเต็มถัง
รถที่ใช้เป็นรถอเมริกันขนาดกลาง ปกติเติมเต็มถังประมาณ 31-32 ดอลลาร์ แต่เมื่อวานนี้เต็มถังต้องควัก 65 ดอลลาร์นี่ขนาดรถคันเล็กแบบประหยัดน้ำมันที่สุดแล้วนะอเมริกันส่วนมากใช้รถแบบครอบครัวอย่างมินิแวนหรือเอสยูวีซึ่งซดน้ำมันเป็นว่าเล่น ออกจากปั๊มน้ำมัน คงกระเป๋าเบากันทุกคน
เท่าที่คุยกับเพื่อนอเมริกันทุกบ้านบ่นกันหูชาเพราะเติมน้ำมันแต่ละหนแตะร้อยดอลลาร์ไม่ต้องพูดถึงราคาสินค้าและอาหารในชีวิตประจำวัน แพงขึ้นทุกสิ่งอย่างแม้ค่าล้างรถก็ยังขอเพิ่มตามไปด้วย เพิ่งเอารถไปล้างเมื่ออาทิตย์ก่อนขอขึ้นราคาอีก 2 ดอลลาร์ พอมาอาทิตย์นี้ ขอเพิ่มอีกหนึ่งดอลลาร์เท่ากับว่าเดือนนี้ค่าล้างรถขึ้นพรวดพราดไป 3 ดอลลาร์ผู้เขียนนึกในใจว่านี่คงเป็นหนสุดท้ายที่จะมาล้างรถคงล้างเองจากนี้ไปเป็นการประหยัดเงิน
ดูเหมือนว่าทุกครอบครัวรักสงบ นอนกบดานกันในบ้านเปิดดูซีรีย์เป็นการพักร้อนแทนที่จะขับรถออกไปเที่ยวหรือบินไปเที่ยวไหนต่อไหน แต่บางคนก็หาทางออกแบบที่เห็นแล้วถึงกับอุทาน
“แหม...ทำไปได้” เพราะเกิดการขโมยน้ำมันจากรถคนอื่นหน้าตาเฉยอเมริกันแห่กันขโมยน้ำมันเจาะจากถังรถคนอื่นหรือจากหัวจ่ายปั๊มเพื่อเอาไปขายต่อในราคาถูกผ่านแอป เอาซี้..ขโมยกันแบบนี้เลยนะ
เกิดปรากฏการณ์อเมริกันชนแอบขโมยน้ำมันทั่วประเทศและการขโมยน้ำมันนี้ทำทุกรูปแบบ ประมาณว่า เจาะน้ำมันเอาจากรถดื้อๆก็ทำ ขโมยจากหัวจ่ายปั๊ม หรือจากรถยนต์คนอื่นที่กำลังจอดอยู่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียเพราะรัฐนี้ค่าน้ำมันแพงสุดๆ ในขณะค่าราคากลางน้ำมันอยู่ที่ 5ดอลลาร์ต่อแกลลอน อย่างที่เคยเขียนเล่ามาก่อนว่าก่อนหน้าสงครามยูเครน น้ำมันแกลลอนละ 2.5 ดอลลาร์ หรือต่ำกว่านั้นตอนนี้พุ่งพรวดจนน่ากลัว โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั่วอเมริกาอยู่ที่ 4.91 ดอลลาร์ต่อแกลลอนขณะที่บางส่วนของรัฐทางตะวันตกและทางตะวันออกเฉียงเหนือเห็นราคาน้ำมันเกินกว่า 5 ดอลลาร์ – 6 ดอลลาร์อ้างอิงจากสมาพันธ์ยานยนต์สหรัฐฯ AAA (American Automobile Association) ขณะที่ในรัฐแคลิฟอร์เนียราคาเฉลี่ยน้ำมันตกอยู่ที่ 6.33ดอลลาร์ต่อแกลลอน
มีข่าวว่าหัวขโมยแอบเจาะน้ำมันดูดจากรถ SUV ในเมืองโอ๊คแลนด์คือไม่รอมืดรอค่ำอะไรเลย พี่อยากจะขโมยก็ลักกันดื้อๆข้อมูลจากสำนักงานบริหารข้อมูลพลังงานสหรัฐฯ (U.S. Energy Information Administration) แสดงให้เห็นว่ามีการขโมยน้ำมันเพิ่มขึ้น25% จากปั๊มน้ำมันเมื่อเทียบกับปีก่อน
ตำรวจพบรถจำนวนมากใช้อุปกรณ์ดูดน้ำมันจากปั๊ม Citgo ระหว่างช่วงเวลาปิดบริการ มีการเจาะดูดน้ำมันเพื่อเอาขายต่อราคาถูกผ่านทางแอปมือถือมีการประเมินว่าน้ำมันมูลค่าหลายพันดอลลาร์ถูกขโมยออกไปจากสถานีบริการน้ำมัน Citgo
นอกจากเรื่องน้ำมันแพงทำให้ต้องหันมาขโมยน้ำมันกันแบบนี้แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่ชวนอึ้งคือ คำพิพากษาของศาลสูงสุดสองเรื่องเรื่องแรกเป็นเรื่องการพกปืน ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องการทำแท้งที่โยนให้แต่ละรัฐดูแลทำให้รัฐสายรีพับลิกันที่เป็นแนวอนุรักษ์นิยมประกาศให้การทำแท้งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลอง
เรื่องกฎหมายทำแท้งเป็งเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งต้องอธิบายยาวขอยกยอดไปเขียนถึงคราวหน้าเรื่องที่น่าหนักใจกว่า คือเรื่องสิทธิการพกปืนนี่แหละเพราะมีผลกระทบในวงกว้าง ดูท่าจะอยู่ยากขึ้นทุกวันล่าสุดศาลสูงสุดมีคำตัดสินว่าชาวอเมริกันมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะพกปืนในที่สาธารณะเพื่อป้องกันตนเองดูสวนทางกับเหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาแน่นอนว่าสมาคมไรเฟิลแก่งชาติ (National Rifle Association - NRA)เต้นแร้งเต้นกาด้วยความดีใจ
แม้ว่าจะเกิดการกราดยิงและอายุของมือปืนจะน้อยลงเรื่อยๆทำให้มีการนำปัญหานี้มาถกเถียงเพื่อหาทางออกหลายครั้งหลายหนแต่กลับกลายเป็นว่า ศาลสูงสุดกลับมีความเห็นเข้าข้างฝ่ายโจทก์ที่อ้างว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญอเมริการับรองสิทธิของพลเมืองในการที่จะครอบครองและพกพาปืน
ไม่น่าแปลกใจหรอกเพราะก่อนที่ตาลุงผมเป๋จะสะบัดก้นลงจากเก้าอี้ประธานาธิบดีลุงแกยัดเด็กสร้างของแกเข้าไปในศาลสูงสุดเพียบแล้วเป็นสายอนุรักษ์นิยมล้วนๆ เพื่อเอาใจกลุ่มริพับลิกันอนุรักษ์นิยม
การกระทำของตาลุงผมเป๋ทรัมป์นี่ดูไปแล้วเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีไทยบางคนไม่มีผิด แม้จะลงจากตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่ยอมวางมือกลับพยายามทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้กลับเข้ามานั่งในตำแหน่งอีกมาอีหรอบเดียวกันเลย
นึกๆ แล้วก็ขำยุวชนสามนิ้วบ้านเราโวยวายว่าอยู่ไม่ได้แล้วเมืองไทย ไอ้นั่นก็ไม่ดีไอ้นี่ก็แย่ เลวไปหมดทุกเรื่อง ว่าแล้วก็ตั้งกลุ่มชักชวนให้ย้ายประเทศมีการโฆษณาชวนเชื่อมากมายไว้หลอกให้ฝันเปียกประเทศที่ยุวชนสามนิ้วอยากหนีจากไทยไปอยู่มากที่สุดคืออเมริกานี่แหละจ้า
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สำนักข่าว CNBC ของอเมริการายงานว่า ชาวแคลิฟอร์เนียหลายแสนคนย้ายฐิ่นฐานออกจากประเทศไปอยู่เม็กซิโกเนื่องจากค่าครองชีพสูงเกินกว่าจะรับไหว ขอเพิ่มเติมเป็นน้ำจิ้มนิดนึงว่ารัฐแคลิฟอร์เนียนี่น่ะ เป็นรัฐที่ใครๆ ก็อยากไปอยู่ เพราะอากาศดี
ตอนนี้กระแสการย้ายถิ่นจากอเมริกาไปเม็กซิโกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆสำนักข่าว CNBC สำรวจความคิดเห็นส่วนใหญ่ของชาวอเมริกัน พบว่า 62% อยากย้ายไปประเทศอื่น
อ่านข่าวแล้วยกมือตบอกป้าบบบบ...ไหนบอกการเมืองดีอะไรๆก็ดีตามไง แล้วนี่ดินแดนประชาธิปไตยที่แท้ทรู ยังอยู่กันไม่ได้เล้ยยย
บางคนก็กล่าวหาลุงโจ ไบเดน ว่าเป็นต้นเหตุให้อเมริกันอยากย้ายประเทศ ไม่อยากจะบอกว่าตอนที่ตาลุงผมเป๋เป็นประธานาธิบดีอเมริกันก็อยากย้ายประเทศเพราะทนลุงแกไม่ไหวเหมือนกัน
ในยุคอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฎผลสำรวจของเว็บไซต์ gallup ระบุว่าผู้หญิงอายุน้อยกว่า 30 ปีมีความต้องการย้ายออกจากสหรัฐฯ มากถึง 40% ขณะที่ 22%
ผิดหวังในตัวโดนัลด์ ทรัมป์โดยมีแคนาดาเป็นประเทศเป้าหมายที่คนอเมริกันอยากย้ายไปอยู่นอกจากแคนาดาแล้ว อเมริกันอยากหนีไปนิวซีแลนด์ จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสถานะพลเมืองนิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 70%ในช่วงสามเดือนนับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
การอยากย้ายประเทศของอเมริกันตอนนี้เป็นการอยากย้ายไปอยู่ประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่า เพราะค่าครองชีพที่แพงขึ้นทุกวันทำให้ไม่สามารถแบกรับต่อไปได้ต่างจากสมัยตาลุงผมเป๋ที่อยากย้ายประเทศอยู่ในประเทศที่มีมาตรฐานใกล้เคียงกับอเมริกา เช่น แคนาดาหรือนิวซีแลนด์ แถมพูดจาภาษาเดียวกันไม่ต้องไปปรับตัวเรียนรู้ภาษาที่สองเหตุผลที่อยากย้ายในเวลานั้นเพราะทนความบ้าบอของลุงผมเป๋ไม่ได้มากกว่าเรื่องค่าครองชีพ
เมื่อเห็นความเป็นจริงในอเมริกาแบบนี้แล้วยุวชนสามนิ้วยังนึกว่าอเมริกาเป็นสวรรค์และยังอยากย้ายมาอยู่อีกไหม
........................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี