เศรษฐา ทวีสิน กับ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร นั้น เหมือนคุณหนูลูกเจ้าสัว ประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ โตขึ้นมาบนกองเงินกองทอง เรียกว่าอุแว้แรกที่เกิดมา ก็คาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่ ตามสำนวนไทยที่ว่า“คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด” เกิดมาก็ได้รับการป้อนอาหารด้วยช้อนเงิน มีบริวารแวดล้อมคอยรับใช้ตลอดเวลา จึงทำอะไรหรือคิดอะไรเองไม่เป็น ต้องมีคนคอยเขียนและกำกับให้อยู่ตลอดเวลา
“อุ๊งอิ๊ง”ชัดเจนกว่า เพราะเกิดมาในช่วงที่พ่อแม่ร่ำรวยสุดๆ มีทั้งเงินมีทั้งอำนาจ ไม่ต้องวิ่งฉายหนังเร่ และชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการวิ่งแลกเช็คเปลี่ยนเช็ค เพราะขาดสภาพคล่อง การเงินฝืดเคือง
“ทักษิณ ชินวัตร” บิดาของคุณหนูอุ๊งอิ๊ง ที่เป็นนักโทษเด็ดขาดและอยู่หลังม่านคอยชักใยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี“เศรษฐา ทวีสิน”เป็นนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งมีลูกสาวเป็นรองประธานฯอยู่นั้น เพิ่งจะมาลืมตาอ้าปากและร่ำรวยขึ้นมาได้แล้วเข้าสู่อำนาจด้วยการตั้งพรรคไทยรักไทยจนเป็นรัฐบาลกระทั่งโกงแล้วหนีมีคดีติตตัวจนทุกวันนี้ ก็เมื่อปี 2533 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ยุค“เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” หลังจากวิ่งเต้นจนได้สัมปทานจากองค์การโทรศัพท์ให้เป็นผู้ดำเนินการระบบเครือข่าย“โทรศัพท์เคลื่อนที่ 900”
ต่อมาในปี 2534 หลังจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ถูกคณะ รสช.นำโดย พล.อ.สุทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจในข้อกล่าวหาว่ารัฐมนตรีในคณะรัฐบาลมีการทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างกว้างขวาง อันเป็นที่มาของคำว่า”รัฐบาลบุฟเฟต์ คาร์บิเนต” เพราะโกงกินกันเหมือนอาหารบุฟเฟต์ ก็ยิ่งทำให้“ทักษิณ ชินวัตร”ร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อทักษิณได้สัมปทานดาวเทียมไทยคมในปี 2535 จากการสนับสนุนค้ำชูของพล.อ.สุนทร ที่เป็นประธาน รสช. เรียกได้ว่า“อาณาจักรชินคอร์ป”แข็งแกร่งหยั่งรากลึกทั้งอำนาจและผลประโยชน์ในประเทศนี้นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
คุณหนู“อุ๊งอิ๊ง”เติบโตมาในยุคที่ตระกูลชินวัตรเฟื่องฟู บิดาเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรแต่เพียงพรรคเดียวจนได้ชื่อว่าเป็น“เผด็จการรัฐสภา” มีทั้งอำนาจและทรัพย์สินเงินทองมหาศาล ซึ่ง“ทักษิณ ชินวัตร”สามารถชี้เป็นชี้ตายได้หมดในแทบจะทุกหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ของประเทศนี้ กระทั่งถึงจุดอวสานต้องหนีระเห็จออกจากประเทศไทยเพราะคดีทุจริตคอร์รัปชัน และวันนี้กำลังรอเวลาขอยื่นพักทัณฑ์โทษเมื่อครบ 120 วัน โดยที่ยังไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียวหลังจากขอกลับเข้ามารับโทษตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 และได้รับการลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี
สำหรับ“เศรษฐา ทวีสิน”คนไทยรู้ดีว่า จากนักธุรกิจหมื่นล้านด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ผันตัวมาเป็นเล่นการเมืองในฐานะหนึ่งใน“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี”ของพรรคเพื่อไทย ถ้าใม่ใช่อำนาจบงการจาก“ทักษิณ ชินวัตร” เขาก็ไม่มีทางที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนากรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นอันล้ำค่ามาอยู่ในมือเหมือนส้มหล่นโดยใม่เหน็ดเหนื่อย ดังคำพูดตอนหาเสียงของเจ้าตัวว่า “ผมเดินทางมา 60 วัน ไข้ขึ้นมาทุกวัน มาเป็นเวลา 11 วันแล้ว เหนื่อยยากขนาดนี้ ผมไม่เอากระทรวงดีๆให้พวกแม่งหรอก”
คำพูดคำจาจากปากอันส่อนิสัยถาวรที่ไม่มีสัมมาคารวะเหมือนเด็กยโสโอหังเอาแต่ใจตนไม่เคยเห็นหัวใครนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็น“คุณหนู”ได้เป็นอย่างดี และพูดพล่อยๆ พูดโดยไม่ทันคิดตลอดเวลา เช่นอีกเรื่องหนึ่ง ตอนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ โชว์ความรวยด้วยการนั่งรถยนต์ส่วนตัวคันใหม่สี่ที่นั่งยี่ห้อ “Lexus LM 350h Executive” ราคากว่า 7 ล้านบาท และเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงรถยนต์คันนี้ก็ได้ตอบทันทีทันควันว่า“ลูกสาวซื้อให้”
“เศรษฐา ทวีสิน”พูดหรือตอบโดยไม่รู้ว่า ทั้งรัฐธรรมนูญ ตลอดจนกฎหมายและระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2544) มีข้อบัญญัติห้าม“เจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด” ซึ่งมีราคาหรือมูลค่าเกิน 3 พันบาท และเรื่องนี้เศรษฐาก็เกือบเสีย“ค่าโง่”ให้กับนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำ“องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน” โดยในเวลาต่อมาเศรษฐาต้องออกมาแก้ตัวใหม่ว่าเป็นรถยนต์ของครอบครัว
วันนี้ (6 ธันวาคม)ก็โดนอีกแล้ว โดยนายศรีสุวรรณ จรรยา จะยื่นร้องต่อ ป.ป.ช.กรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน ใช้เงินส่วนตัวซื้อผ้ามัดหมี่สีชมพูที่ปักชื่อ“อุ๊งอิ๊ง”ราคา 6 พันบาท จากบูธโอธอบชาวบ้านโนนสัง ระหว่างที่ไปประชุม ครม.สัญจรเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมอบเป็นของขวัญให้แก่“คุณหนูอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ที่เวลานี้มีสถานภาพเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งนอกจากเศรษฐาแล้ว อุ๊งอิ๊งก็โดนพ่วงเข้าไปด้วย ในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ ตามที่นายศรีสุวรรณได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊กของเขาว่า “กรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายการให้-รับของกำนัลหรือของชำร่วยเกินกว่า 3 พันบาท ต้องห้ามตามประกาศของ ป.ป.ช.”
เฉพาะเศรษฐา ทวีสิน เวลานี้โดนนายศรีสุวรรณ จรรยา เจ้าของฉายา”นักร้อง(เรียน)แห่งชาติ” ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.และองค์กรอิสระอย่าง กกต.ตรวจสอบวินิจฉัยไปแล้วหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องใหญที่สุดที่มีผลต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็คือกรณี“ตั๋วผู้กำกับ”ที่นายเศรษฐาไปพูดโพล่งกลางที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับการ โดยนายศรีสุวรรณยื่นร้องว่า ”เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่”
ส่วน“แพทองธาร ขินวัตร”ด้วยความที่เป็นคุณหนูไม่รู้ประสีประสาอะไรสักเรื่องเดียว นิยมใช้ของต่างประเทศแบรนด์หรูราคาแพง แต่พ่อก็พยายามจะเข็ญให้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงให้ทดลองงานด้วยการทำเรื่อง“ซอฟต์ พาวเวอร์”คู่ขนานกับ“เศรษฐา ทวีสิน”ไปพลางก่อน จนกว่าจะถึงเวลาขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแทนนายเศรษฐา ปรากฏว่าแค่โครงการ“มหาสงกรานต์” หรือ“World Water Festival”เรื่องเดียวก็ไม่เป็นท่าแล้ว ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ทั้งเดือนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว แถมยังจะมั่วนิ่มว่าเป็น“ซอฟต์ พาวเวอร์”อีกต่างหาก
ไม่เพียงแต่เท่านั้น “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง”จะต้องหน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บอีก เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ไทยนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เธอคิด เพราะภายในวันนี้พรุ่งนี้องค์การยูเนสโก (UNESCO) กำลังจะประชุมเพื่อลงมติประกาศให้ “ประเพณีสงกรานต์” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage - ICH) ชิ้นที่ 4 ของประเทศไทย ต่อจาก โขน นวดไทย และรำโนราห์ อันเป็นผลงานที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยื่นเรื่องเสนอต่อองค์การยูเนสโกให้พิจารณาไปแล้วก่อนหน้านี้
บอกข่าวไว้ ณ ที่นี้เป็นการล่วงหน้าก่อน เพราะเกรงว่า“เศรษฐา ทวีสิน” และ“อุ๊งอิ๊ง” สอง“คุณหนูดูโอ้” จะไปป่าวประกาศตีกินว่า เป็นผลงานของรัฐบาลและของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี