ในอเมริกามีคดีที่เข้าข่ายแปลกและโหดร้ายอยู่มากมาย หลายคดียังไม่สามารถหาข้อสรุปได้จนกระทั่งปัจจุบัน บางคดีโด่งดังและวิตถารจนแทบไม่น่าเชื่อ ในช่วงต้นปี ค.ศ.1947 มีคดีหนึ่งสะเทือนขวัญอเมริกันทั้งประเทศ กลายเป็นคดีโด่งดังระดับโลกในเวลาต่อมา คดีนี้เรียกว่า “คดีแม่ดอกรักเร่ดำ”
สำหรับชาวลอสแองเจลิสแล้ว ไม่มีใครลืมคดีโหดที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1947 ได้ เบ็ตตี้ เบอร์ซิงเกอร์ ผู้กำลังจูงมือลูกสาวตัวน้อยไปซ่อมรองเท้า ระหว่างที่เดินผ่านสวนสาธารณะไลเมิร์ตย่านชานเมืองลอสแองเจลิสนั่นเอง หนูน้อยกระตุกมือผู้เป็นแม่ให้หยุดดูอะไรบางอย่าง
นั่นคือศพหญิงเปลือยน่าสยดสยองถูกหั่นด้วยมีดคมกริบจนขาดจากกันเป็นสองท่อน รอยแผลเรียบไม่มีเนื้อเยื่อหรือเอ็นขาดกะรุ่งกะริ่งแม้แต่น้อย แม้ว่าจะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ อย่างน่าหวาดสยอง แต่ใบหน้าศพดูช่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ฆาตกรจัดท่าให้นัยน์ตาเปิดอยู่ครึ่ง ๆ เหมือนยั่วยวน มุมปากเหยียดออกทั้งสองข้างเหมือนกำลังแย้มยิ้ม ส่วนท่อนล่างนั้นสยองยิ่งไปกว่าร่างท่อนบนเสียอีก เพราะเปลือยเปล่าและถูกยัดเศษไม้ใบหญ้าจนเต็มช่องคลอด ขาทั้งสองข้างแบะถ่างออกเหมือนเชิญชวน
ศพปริศนาไม่มีรอยเลือดแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อน สภาพศพขาวซีดเพราะเลือดไหลออกจากตัวจนหมดทุกหยาด นั่นแสดงว่าถูกฆ่าและชำแหละมาจากที่อื่น
ประเด็นที่น่าขบคิดคิดคือ ทำไมฆาตกรถึงเอาศพสาวรายนี้มาทิ้งที่ถนนนอร์ตันซึ่งเป็นย่านชุมชน นี่แหละคือประเด็นสำคัญที่สุดว่าทำไมถึงเอาศพมาทิ้ง เพราะบริเวณนี้ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาพลุกพล่าน คล้ายกับฆาตกรจงใจอวดผลงานให้คนอื่นเห็นชัดๆ
เรื่องนี้กลายเป็นคดีดังในอเมริกาที่ทุกคนเกาะติด เด็กส่งหนังสือพิมพ์ที่ต้องใช้เส้นทางนี้ทุกเช้าให้การว่า เห็นรถสีดำแล่นช้า ๆ มาตามขอบถนนใกล้จุดพบศพ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชดึงสิ่งที่ฆาตกรอุดในช่องอวัยวะเพศและช่องทวารหนักออกมา พบว่าในทวารหนักมีเศษเนื้อและหนังเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยรวมอยู่ด้วยหลายก้อน ซึ่งเป็นก้อนเนื้อที่ฆาตกรใช้มีดคว้านจากขาอ่อนเธออย่างทารุณนั่นเอง
จากการชันสูตรแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หญิงสาวรายนี้ถูกทรมานอย่างวิปริตและเจ็บปวดจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์จะทนไหว ซ้ำยังถูกบังคับให้ถูกกลืนอุจจาระจนเต็มกระเพาะ หากถูกข่มขืนทั้งทางช่องคลอดและทวารหนัก ฆาตกรสามารถกำจัดร่องรอยอสุจิออกได้อย่างหมดจด เพราะหลังจากสังหารเหยื่อแล้ว ฆาตกรลากศพเธอไปสระผมด้วยแชมพูแล้วฟอกสบู่ทั้งตัว
แต่ก่อนชำระล้างร่างไร้วิญญาณ ฆาตกรจะต้องหั่นศพเป็นสองท่อนก่อนหน้าแล้ว เพราะเลือดสดๆ ไหลลงท่อน้ำทิ้งจนหมดร่าง ดังนั้นผิวของหญิงสาวจึงซีดขาวเผือดเหมือนขี้ผึ้งจนดูผิดธรรมชาติ จากนั้นก็นำศพไปทิ้งไว้ข้างทาง
เอฟบีไอแจ้งผลว่า ศพหญิงลึกลับผู้นี้คือ อลิซาเบธ ซอร์ต แต่สิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นศพที่โด่งดังยาวนานข้ามศตวรรษคือ คือเรื่องราวและฉายา “แม่ดอกรักเร่ดำ” นั่นเอง ก่อนหน้าเสียชีวิต แม่ดอกรักเร่ดำผู้นี้ฝันอยากเป็นดาราฮอลลีวู้ดที่มีชื่อเสียงโด่งดังทะลุฟ้า แต่กลับกลายเป็นว่าเธอโด่งดังตามความฝันในยามสิ้นชีวิตแล้ว
เอฟบีไอวิเคราะห์ลักษณะฆาตกรรายนี้ว่าน่าจะเป็นชายผิวขาว สันโดษ อาศัยอยู่ตามลำพัง คลั่งความสะอาดแบบผิดปกติ คงมีประสบการณ์ในการชำแหละสัตว์ขนาดใหญ่ๆ เช่นหมูหรือวัว จึงอาจทำอาชีพเป็นคนขายเนื้อ
ในบรรดาผู้ต้องสงสัยทั้งหลาย มีรายหนึ่งที่น่าสงสัยที่สุด นั่นคือ อาร์โนลด์ สมิธ เอ.เค.เอ.แจ็ค แอนเดอร์สัน วิลสัน สมิธอ้างว่ารู้จักแม่ดอกรักเร่ดำ ในรูปถ่ายนั้นมีรูปของตนและแม่ดอกรักเร่ดำกับผู้ชายอีกคนชื่อ อัล มอร์ริสัน
สมิธให้การว่าตนกับมอร์ริสันเช่าห้องในโรงแรมอยู่ด้วยกัน และพาแม่ดอกรักเร่ดำไปเล่นเซ็กซ์หมู่ในห้อง แต่เธอไม่ยอมจนทั้งสองโมโห สมิธอ้างว่ามอร์ริสันลวงหญิงสาวไปฆ่าที่บ้านบนถนนอิสต์ 31 ในลอสแอนเจลิส
ตำรวจรู้จักดีว่าสมิธนั้นมีอีกชื่อหนึ่งคือ แจ็ค แอนเดอร์สัน วิลสัน มีประวัติเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมทางเพศ มีชื่อติดบัญชีผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมและที่น่าแปลกคือ รู้รายละเอียดที่มีแต่ฆาตกรตัวจริงรู้เท่านั้น พอตำรวจจะไปจับตัวสมิธ ปรากฎว่าสมิธตายในกองเพลิงที่ไหม้ห้อง 202 ของโรงแรมฮอลแลนด์ในลอสแอนเจลิส หลังจากนั้นคดีนี้ก็ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก และยังไม่สามารถหาตัวฆาตกรได้จนทุกวันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี