ความรักและการครองเรือนนั้นเป็นศาสตร์และศิลปะแขนงหนึ่ง ที่ไม่มีคำตอบใดผิดหรือถูกอย่างชัดเจน แต่ละคนแต่ละคู่ต้องเรียนรู้เป็นการเฉพาะตน เพื่อประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับครรลองชีวิต แต่ละคู่มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันออกไป ความหมายของความรักจึงหลากหลายนิยามเช่นกัน
แม้ความรักจะเป็นเรื่องสากล แต่แตกต่างไปตามวัฒนธรรมและค่านิยมแต่ละประเทศ ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน นิยมแต่งงานในฤดูหนาว พอย่างเข้าหน้าหนาวทีไร มักได้รับการ์ดแต่งงานมากเป็นพิเศษทุกทีแต่สำหรับคนอเมริกัน นิยมแต่งงานในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีฤดูหนาวยาวนานกว่าประเทศเขตร้อน พอย่างเข้าสู่ใบไม้ผลิ ต้นไม้เริ่มแตกใบอ่อนและนกเริ่มจับคู่ทำรัง จึงถือเป็นสัญลักษณ์ในการเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งในรอบปี คนอเมริกันจึงนิยมแต่งงานในฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูร้อน เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปี
โดยทั่วไปแล้วหนุ่มสาวอเมริกันมักย้ายออกจากบ้านพ่อแม่หลังเรียนจบมัธยม เพราะบางส่วนไม่ได้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย หนุ่มสาวคนไหนที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่จะถูกล้อว่าเป็นลูกแหง่และถือเป็นเรื่องน่าอับปาย ดังนั้นทุกคนจึงอยากมีบ้านหรือมีห้องพักส่วนตัวโดยเร็วที่สุด แต่ปัจจุบันหนุ่มสาวอเมริกันไม่ได้ย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ทันทีที่อายุครบ 18 ปีหรือจบไฮสคูล เพราะภาวะเศรษฐกิจ แต่จะอยู่กับพ่อแม่ไปจนกว่าตัวเองจะย้ายไปอยู่กับแฟนหรือจะแต่งงาน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
หลังผ่านขั้นตอนการอยู่ร่วมกันแล้วคิดว่าไปกันไม่ได้ก็เลิกรา แม้จะมีลูกเต้าด้วยกันก็ตาม กฎหมายอเมริกันแทบทุกรัฐคุ้มครองฝ่ายหญิง โดยกำหนดให้ฝ่ายชายจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกจนกว่าลูกจะอายุครบ 18 ปีหรือฝ่ายหญิงแต่งงานใหม่ ซึ่งกฎหมายแต่ละรัฐแตกต่างกันออกไป
หากทั้งคู่คิดว่าอยากอยุ่ร่วมกันเพื่อสร้างครอบครัวก็จัดพิธีแต่งงานขึ้น อาจจะเป็นงานใหญ่บ้างเล็กบ้างหรือไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาเลยก็ได้ ตามแต่ความต้องการของคู่รักแต่ละคู่ ฝ่ายชายขอหมั้นด้วยแหวนเพชร ตามธรรมเนียม กำหนดว่าราคาของแหวนเพชรควรจะมีราคาเท่ากับเงินเดือนฝ่ายชาย 3 เดือน แต่เรื่องนี้ไม่ได้กำหนดบังคับตายตัว เป็นเพียงประเพณีที่นิยมปฎิบัติกันเท่านั้นเอง ขึ้นอยู่กับฝ่ายหญิงด้วยว่าจะพอใจแหวนแบบไหน เพราะหากรักกันมั่นคงจริงใจแล้ว เรื่องราคาแหวนคือประเด็นรอง
เมื่อฝ่ายชายซื้อแหวนหมั้นราคาแพงให้ว่าที่เจ้าสาว ก็ถึงตาเจ้าสาวที่ต้องควักบ้าง คือฝ่ายเจ้าสาวต้องออกเงินค่าจัดงานแต่งงานทั้งหมด จะว่าไปแล้วก็เหมือนช่วยกันออกเงินนั่นเอง เรื่องนี้แตกต่างจากบ้านเราที่คาดหวังให้เจ้าบ่าวควักกระเป๋าจ่ายทุกอย่างจนหน้าแห้ง
ช่วงที่คนไทยนิยมแต่งงานมากที่สุดคือหน้าหนาวตั้งแต่พฤศจิกายนเป็นต้นมา ส่วนมากเลือกวันแต่งงานวันศุกร์เพื่อให้พ้องเสียงกับคำว่า “สุข” อย่านึกว่าฝรั่งไม่มีเรื่องแบบนี้ คนอเมริกันนิยมแต่งงานเดือนมิถุนายน นอกจากอากาศไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกินไปแล้ว ยังแต่งเพราะเอาเคล็ดเรื่องชื่อ เพราะ June มาจากพระนาม Juno ผู้เป็นเทพีแห่งการแต่งงานตามความเชื่อของโรมันโบราณ ส่วนเดือนพฤษภาคมนั้นไม่เป็นที่นิยม เพราะถือเป็นช่วงที่พวกนอกศาสนาจัดงานฉลองจึงไม่เหมาะจะเริ่มต้นชีวิตคู่ในทัศนะของชาวคริสต์
ความนิยมในชุดเจ้าสาวสีขาวมีที่มาว่าสีขาวคือสีแห่งความสุขและการเลือกคู่ครองที่ถูกต้อง โดยเชื่อกันมาตั้งแต่ยุคกรีก ต่อมาเจ้าหญิงและเชื้อพระวงศ์ยุโรปเป็นผู้นำแฟชั่นชุดเจ้าสาวสีขาวในพระราชพิธีอภิเษกสมรสจึงทำให้ชุดเจ้าสาวสีขาวเป็นที่นิยม ก่อนหน้านั้น เจ้าสาวจะใส่ชุดแต่งงานสีอะไรก็ได้
ความชื่อในเรื่องชุดแต่งงานยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีการกำหนดให้เจ้าสาวหาของมาประกอบชุดเจ้าสาวสี่อย่างคือ ของเก่า ของใหม่ สิ่งของที่มีสีฟ้า และสิ่งที่ขอยืมมา โดยมีคำอธิบายประกอบว่า "ของเก่า" หมายถึงของส่วนตัวของแม่ที่จะให้ลูกสาวในวันแต่งงาน เพื่อเป็นเครื่องหมายในการเตือนสติให้รู้จักครองเรือนโดยใช้หลักเหตุผลเป็นที่ตั้ง
ส่วน "ของใหม่" จะเป็นอะไรก็ได้ แต่ให้ มีความหมายโยงถึงชีวิตคู่หลังแต่งงาน หมายถึงการมองไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน และ"ของยืม" จะต้องเป็นของที่ขอยืมมาจากผู้หญิงที่สมรสราบรื่น โดยให้เจ้าสาวยืมไปใช้ในงานแต่งเพื่อเตือนใจว่าควรมีต้นแบบในการประคองชีวิตคู่อย่างไร
ของอย่างสุดท้ายคือ “ของสีฟ้า" การกำหนดสิ่งของสีฟ้ามาประกอบการแต่งงานมาจากความเชื่อและประเพณีของคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกสาวโรมันเชื่อว่าการสวมชุดแต่งงานที่ระบายขอบกระโปรงด้วยสีฟ้าเป็นการแสดงความรัก ความนอบน้อม และความจงรักภักดีต่อว่าที่สามี ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกคริสตศาสนิกชนที่เชื่อว่าสีฟ้าคือตัวแทนความเป็นพรหมจรรย์แห่งพระแม่มารี ส่วนมากแล้วนิยมใช้ผ้าเช็ดหน้าสีฟ้ามาประดับชุดแต่งงาน
วันแต่งงานถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิต นอกจากคู่บ่าวสาวเองแล้ว ยังเป็นความปลาบปลื้มใจของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะปักดอกไม้ที่อกเสื้อในวันแต่งงานแสดงตัวว่าเป็นคนในครอบครัวของบ่าวสาว หน้าที่พ่อในวันแต่งงานคือต้องนำเจ้าสาวเข้ามาในโบสถ์หรือสถานที่จัดงานเพื่อส่งมอบความรักต่อให้เจ้าบ่าว เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการทางศาสนาต้องเต้นรำกับเจ้าสาว ส่วนเจ้าบ่าวก็จะเต้นรำกับแม่ของตนเป็นการประเดิม จากนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวถึงเต้นรำกันเป็นการฉลองสมรส
ความรู้สึกอ่อนโยนที่เรียกว่า “รัก” ทำให้โลกนี้สว่างไสวงดงาม ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะตระหนักว่าสิ่งที่สำคัญในชีวิตคืออะไร โลกไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยความเกลียดชัง มีเพียงความรักเท่านั้นที่คือคำตอบส่วนการแต่งงานคือการเติมเต็มความรักให้สมบูรณ์ขึ้นนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี