ปลาสวยงามหรือปลาตู้ เป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากใช้เนื้อที่และการเอาใจใส่ดูแลในการเลี้ยงไม่มากเท่าสุนัขและแมว แต่การที่เราไม่ต้อง
ใส่ใจมากนัก ก็อาจจะทำให้เราชะล่าใจ จนไม่ทันสังเกตว่าปลาที่เราเลี้ยงเริ่มป่วยแล้วก็เป็นได้
วันนี้ผมมีวิธีการดูแลปลาเบื้องต้น โดย ผศ.น.สพ.ดร.ชาญณรงค์รอดคำ จาก ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนอื่นต้องเรียนก่อนว่า เนื่องจากปลาสวยงามที่นิยมเลี้ยงกันนั้นมักเป็นปลาขนาดเล็ก ที่มีช่วงอายุขัยไม่ยืนยาวนัก ก่อนเริ่มเลี้ยงเราคงต้องเข้าใจตรงจุดนี้ก่อน จะได้ไม่ต้องเสียใจฟูมฟายหากเกิดการสูญเสียปลาที่เรารักขึ้นมา ดังนั้นการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องเหมาะสมจะช่วยทำให้ปลาของเรามีสุขภาพดีและมีอายุที่ยืนยาวครบตามอายุขัยของเขาจริงๆ
การเลี้ยงปลาที่ดีต้องควบคู่ไปกับการสังเกตสุขภาพปลาอย่างละเอียด ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำจนเกิดเป็นความเคยชิน นักเลี้ยงที่มีประสบการณ์มีสายตาค่อนข้างแหลมคม การมองผ่านตู้ปลาเพียงแวบเดียวก็อาจประเมินสุขภาพปลาโดยรวมได้ ในขณะที่นักเลี้ยงมือใหม่อาจต้องเพ่งกันเป็นวันๆ เลยทีเดียวครับ วันนี้เรามารู้จักวิธีสังเกตอาการปลาป่วยกัน ก่อนอื่นต้องแยกลักษณะปลาแข็งแรงกับปลาป่วยให้เห็นดังนี้
ลักษณะของปลาแข็งแรง
1.ลักษณะลำตัวแข็งแรง มีกล้ามเนื้อขึ้นเต็ม ท้องไม่แฟบบาง ครีบทุกครีบกางตั้ง ใบครีบใสไม่ขุ่นหรือฉีกแหว่ง ขาด ลุ่ย
2.ดวงตาใส กลม ไม่ขุ่น กระจกตาไม่โปนออกนอกเบ้า
3.หากเป็นปลามีเกล็ด เกล็ดต้องมีความเงางาม ซ้อนกันเรียบสนิทเรียงกันเป็นแถวสวยงาม หากเป็นปลาไม่มีเกล็ดหรือปลาหนัง ผิวหนังต้องแน่น
เรียบตึง
4.สีสันลวดลายขึ้นสวยงามตามสมควร ไม่จำเป็นต้องสดเข้ม แต่ต้องไม่ซีดจางหรือเลอะเลือน
5.การว่ายน้ำ ต้องมีทิศทาง มีความกระตือรือร้น มีประสาทสัมผัสว่องไว
6.การหายใจ ต้องไม่หอบถี่จนเกินไป สังเกตจากอาการเปิด-ปิดของฝาปิดเหงือกข้างแก้ม แผ่นนั้นจะกระพือเปิด-ปิด อย่างเป็นจังหวะจะโคน
ลักษณะของปลาที่เริ่มมีอาการไม่ปกติ มีดังนี้
1.ลักษณะทางด้านกายภาพ อาจมีอาการผ่ายผอม ท้องยุบ สันหลังแฟบแบน ครีบลู่หรือกางสลับลู่ อาจฉีกแหว่งหรือกร่อน หรือมีลักษณะของการตกเลือด ท้องบวมโตบริเวณที่เป็นกระเพาะอาหารหรือถุงลม
2.ดวงตาขุ่น กระจกตาโปน เลนส์ตาที่ดำมันกลายเป็นฝ้า
3.เกล็ดขาดความเงางาม ด้าน มีจุดกระสีดำขึ้นกระจาย มีจุดขาวขึ้นกระจาย ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยเมือกขาวขุ่น ดูคล้ายๆ ปลาส้มที่ใช้ทำอาหาร มีจุดหรือจ้ำสีแดงอันเกิดจากพยาธิภายนอก
4.สีสันลวดลายซีดหายเลอะเลือน จากเดิมที่เคยขึ้นชัดสดคม
5.การว่ายน้ำ เป็นไปในแบบไร้ทิศทาง หรือพยายามว่ายไปหลบซุกตามมุมตู้หรือนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ ประสาทสัมผัสขาดความว่องไวหรือเกิดอาการตื่นตัวรุนแรงผิดปกติ ปลาที่มีพยาธิภายนอกจะว่ายกระสับกระส่ายคอยเอาตัวไถลตามพื้นตู้หรือสันก้อนหิน ขอนไม้ อยู่ถี่ๆ เพื่อกำจัดพยาธิออกจากผิวหนัง ปลาที่มีปัญหาการติดเชื้อภายในระบบทางเดินอาหารจะว่ายหัวทิ่มหรือ
หงายท้อง
6.การหายใจผิดปกติ ฝาปิดเหงือกทำงานหนัก กระพือเร็ว บางทีจะมีการหยุดชะงักเป็นพักๆ เหมือนเกิดอาการช็อก
อาการผิดปกติดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ฟันธงได้เลยว่า ปลาสวยงามป่วยเป็นโรคแน่ๆ เพียงแต่จะเป็นโรคอะไร อย่างไรเท่านั้นเอง ซึ่งก็คงต้องว่ากันต่อไปในภายหลัง ก่อนอื่นสิ่งที่ท่านต้องทำคือ นำปลาป่วยออกมาปฐมพยาบาลเสียก่อนโดยจะต้องยึดหลักว่า ยิ่งรู้เร็ว แยกเร็ว รักษาเร็ว ปลาก็จะมีเปอร์เซ็นต์การรอดตายสูง หากชะล่าใจ ปล่อยเวลาให้เนิ่นไปอีก บางทีแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงปลาก็อยู่รอให้เรารักษาไม่ไหวเสียแล้ว
วิธีการปฐมพยาบาลปลาป่วย
ขั้นแรกสุดเลยคือ เราต้องมี สถานที่ นั่นก็คือ ภาชนะสำหรับแยกปลาป่วยมารักษาโดยเฉพาะ
ถ้าเป็นปลาขนาดเล็กถึงขนาดกลางก็นิยมใช้ตู้กระจกที่มีความจุน้ำอย่างต่ำสัก 50 ลิตร ถ้าเป็นปลาใหญ่ ก็อาจใช้ตู้ปลาขนาดร้อยห้าสิบลิตรขึ้นไปหรือไม่ก็บ่อปลา อาจเป็นบ่อพลาสติกหรือบ่อปูนก็ตามแต่สะดวก
การวางตู้หรือบ่อพยาบาลควรวางในบริเวณที่มีแสงส่องสว่างเพียงพอเพราะเราต้องคอยสังเกตอาการปลาอย่างใกล้ชิดด้วย ที่สำคัญบริเวณนั้นต้องไม่อยู่ในจุดที่ทำให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมากนัก จะให้ดีก็หาฮีตเตอร์มาใช้ควบคุมอุณหภูมิอีกสักตัวก็ไม่เลว
ทำความสะอาดภาชนะก่อนเสียหนึ่งรอบด้วยน้ำเกลือเข้มข้น หรือหากใช้ด่างทับทิมก็ใช้เพียงเจือจาง และล้างออกหลายๆ ครั้ง
เตรียมน้ำใส่ภาชนะ ต้องเป็นน้ำปราศจากคลอรีน มีอุณหภูมิเท่ากันกับตู้เลี้ยงที่กำลังจะแยกปลาป่วยออกมา
จัดหาวัสดุหลบซ่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเกิดอาการเครียด เช่นขอนไม้ ต้นไม้ หรือก้อนหิน แต่อย่าวางให้รกจนเกินไปนัก การจัดวางควรจัดบริเวณกลางไปจนถึงหลังตู้ ไม่ควรปูกรวดหรือทรายที่พื้นตู้ เพราะจะเป็นที่สะสมฟักตัวของเชื้อโรคและพยาธิหลายชนิด
ติดตั้งตัวกรองขนาดเล็กเพื่อช่วยให้น้ำสะอาด ไหลเวียนดีและมีปริมาณออกซิเจนเพียงพอ
ขั้นต่อไปก็ค่อยๆ จับปลาป่วยออกมาจากตู้ การจับต้องไม่ใช้กระชอนไล่ควานอย่างบ้าคลั่ง เพราะจะทำให้ปลาช็อกตายเสียก่อน ควรค่อยๆทำอย่างละมุนละม่อม โดยใช้กระชอนสองอันที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวปลาหลายๆ เท่าค่อยๆ ไล่ต้อนจนเข้ามุมแล้วจึงช้อนออกมาใส่ถุงพลาสติกหรือกะละมัง
นำถุงพลาสติกหรือกะละมังไป ลอยไว้ในน้ำของตู้พยาบาล เพื่อปรับอุณหภูมิให้เท่ากันดีเสียก่อน ใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาที จากนั้นค่อยเอากระชอนช้อนเฉพาะตัวปลาลงตู้พยาบาลอีกที อย่าเทน้ำที่ได้จากตู้เดิมลงไปด้วย
ถึงตอนนี้ปลาก็พร้อมสำหรับการวินิจฉัยและรักษาให้หายขาดต่อไปแล้วอ้อ! ตู้เลี้ยงเดิมที่ยังมีปลาที่ไม่ป่วยอยู่ ก็ให้เปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณ 20-25%และสังเกตอาการของปลาต่อไปอีกสักระยะ เพื่อหาดูว่าตัวไหนมีอาการผิดปกติเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หากมีก็จะได้เอามารักษาได้ทันท่วงทีครับ
ต้องจำไว้ว่าเมื่อปลาป่วย อย่าเพิ่งใส่ยาจนกว่าจะวินิจฉัยอาการของโรคและเตรียมภาชนะสำหรับรักษาให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี