โรคอ้วน เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable Diseases: NCDs) ที่ทำให้สูญเสียปีสุขภาวะเป็นลำดับที่ 1 ในหญิงไทยและลำดับที่ 6 ในชายไทย เป็นเหตุให้ต้องตายก่อนวัยอันควรเกิดความสูญเสียจากการเจ็บป่วยหรือพิการ อันตรายของ “โรคอ้วน”เป็นภัยเงียบที่บั่นทอนสุขภาพของคนไทยและมีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต โรคอ้วนกับโรคไตมีความสัมพันธ์กันทั้งทางตรงและทางอ้อม ผู้ป่วยโรคอ้วนมักมีโรคร่วมหลายโรค ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงของโรคไตเรื้อรัง จึงเพิ่มโอกาสการเกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องพึ่งพาการบำบัดทดแทนไตในที่สุด
คนไทย “อ้วน” เยอะแค่ไหน
ความชุกของโรคอ้วนในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานสุขภาพคนไทยปี 2557 พบว่าคนไทยที่มีอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป จำนวนมากกว่า 1 ใน 3 มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนเพิ่มขึ้น โดยมีอัตราของภาวะน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้น 2 เท่า(จากร้อยละ 17.2 เป็นร้อยละ 34.7) และภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า (จากร้อยละ 3.2 เป็นร้อยละ 9.1) เพศหญิงเป็นโรคอ้วนมากกว่าเพศชายเกือบเท่าตัว พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมีผลต่อการเป็นโรคอ้วน
โรคอ้วน เกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานที่ได้รับกับพลังงานที่ถูกใช้ไปในชีวิตประจำวัน มีข้อมูลในคนไทยพบว่าพลังงานที่ได้รับจากสารอาหาร มีสัดส่วนพลังงานที่มาจากไขมันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากร้อยละ 9 ในปี 2503 เป็นร้อยละ 24ในปี 2546 แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก ปัจจัยระดับบุคคลมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ค่านิยมการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง การใช้พลังงานของกิจกรรมประจำวันลดลง การเล่นอินเตอร์เนตนั่งดูโทรทัศน์ พูดคุยโทรศัพท์ นานวันละหลายๆ ชั่วโมง อาชีพการทำงาน รายได้ ภูมิลำเนา ทัศนคติ ความชอบส่วนบุคคล สภาวะทางด้านจิตใจ ความเครียด ล้วนมีผลต่อการเกิดโรคอ้วน ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม การพัฒนาทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว การคมนาคมขนส่ง วิถีชีวิต ค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย อาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น กิจกรรมการออกแรงทางกายลดลง การกระจายตัวของเมือง การขยายตัวของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม การรับประทานอาหารนอกบ้าน การซื้ออาหารสำเร็จรูป มีร้านสะดวกซื้อที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารได้ง่ายขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งเสริมให้ประชาชนเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้น
เราจะทราบได้อย่างไรว่าตนเองเริ่มเป็นโรคอ้วน
เราจะทราบว่าเริ่มมีภาวะอ้วนหรือไม่ โดยการประเมินจากค่าดัชนีมวลกาย BMI (bosy mass index) คำนวณจากน้ำหนักตัว(กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูงยกกำลังสอง (เมตร 2) หากมีค่า25-29.9 กิโลกรัมต่อเมตร 2 จะจัดอยู่ในภาวะ “น้ำหนักเกิน” (overweight) แต่หากมีค่ามากกว่า 30 กิโลกรัมต่อเมตร 2จะเรียกว่า ภาวะ “อ้วน” หากวัดเส้นรอบเอวโดยมีค่ามากกว่า 90 เซนติเมตรในเพศชาย และมากกว่า 80 เซนติเมตรในเพศหญิง หรือรอบเอวมากกว่าครึ่งหนึ่งของความสูง จะเรียกว่าภาวะ “อ้วนลงพุง”
ตารางที่ เกณฑ์การแบ่งค่าดัชนีมวลกายตามเกณฑ์และเส้นรอบเอว
ที่มา: สำนักงานสำรวจสุขภาพประชากรไทย (สสท.) รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 4 ปี 2551-2552
*การวัดรอบพุงควรทำในช่วงเช้า ก่อนรับประทานอาหาร ตำแหน่งที่วัดไม่ควรมีเสื้อผ้าปกคลุม
วัดขณะที่อยู่ในท่ายืนให้เท้าห่างกันประมาณ 10 เซนติเมตรใช้สายวัดวัดกึ่งกลางระหว่างขอบบนของกระดูกเชิงกรานและขอบล่างของชายโครงและให้สายวัดขนานกับพื้น วัดในช่วงหายใจออกสายวัดควรแนบกับลำตัวพอดีไม่รัดแน่นจนเกินไป
(อ่านต่อฉบับหน้า)
ผศ.พญ.วรางคณา พิชัยวงศ์
อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลราชวิถี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี