ขณะที่โลกใบนี้กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสอู่ฮั่น ในอีกด้านก็ฉายภาพให้เห็นการทำงานของรัฐบาลทั่วโลกในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขของตัวเองอย่างเต็มกำลัง ตรงนี้เองที่ทำให้เราได้เห็นการนำนวัตกรรมต่างๆ (เครื่องมือ เทคโนโลยี และความคิด) จากหน่วยงานทั่วโลกออกมารับมือกับการแพร่ระบาดของเจ้าไวรัสตัวนี้อย่างน่าสนใจ แต่ก่อนจะไปลงลึกถึงนวัตกรรมเหล่านั้น เราไปทำความรู้จักกับ “ตัวเอก” ของเรื่องนี้กันก่อน
“ไวรัสอู่ฮั่น” (2019 novel coronavirus) คือ เชื้อไวรัสในกลุ่มที่เรียกว่า โคโรนาไวรัส ซึ่งเป็นไวรัสที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าไวรัสชนิดอื่นๆมีลักษณะรูปร่างเป็นแฉกๆ เหมือนมงกุฎตามชื่อ Corona ซึ่งมาจากภาษาภาษาลาตินที่แปลว่า Crown นั่นเอง
ไวรัสตัวนี้ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจทั้งในคนและสัตว์ความจริงมีการพบไวรัสชนิดนี้มานานแล้วแต่เดิมจะเป็นเชื้อที่ไม่มีความรุนแรงมากนัก แต่ในปัจจุบันเชื้อได้กลายพันธุ์ (Mutation) ทำให้เป็นเชื้อที่มีความรุนแรงและไม่มีมนุษย์คนไหนมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนี้มาก่อน โดยข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (7 กุมภาพันธ์ 2563) ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อแล้วถึง 31,481 คน เสียชีวิตแล้ว 638 คน และหายป่วยแล้ว 1,563 คน (เริ่มมีรายงานการติดเชื้อแพร่ระบาดในมนุษย์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2562)
มีการสันนิษฐานกันว่า ไวรัสโคโรนา อาจมีที่มาจากการที่มนุษย์ทานสัตว์ป่าประเภทค้างคาว หรืองู เลยเกิดการติดเชื้อแต่ก็ยังไม่มีผลสรุปออกมาที่แน่ชัด(มณฑลหูเป่ย์ สถานที่เพาะเชื้อ ขึ้นชื่อในเรื่องของการขายสัตว์ป่าเพื่อนำไปทำเป็นอาหาร) และแม้ตอนนี้การแพร่ระบาดจะกระจายไปหลายประเทศทั่วโลก แต่ประเทศจีนซึ่งเป็นต้นทางของเชื้อไวรัสตัวนี้ก็ยังมีอัตราผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่สุดคือ 31,161 คน จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 31,481 คน นั่นอาจตีความหมายได้ว่า การกักกันเชื้อไวรัสตัวนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ กระนั้นทางการของแต่ละประเทศก็ได้มีมาตรการต่างๆ ในการรับมือกับการแพร่ระบาดอย่างเต็มกำลังและได้มีการนำนวัตกรรมต่างๆ ออกมาใช้ไม่ว่าจะเป็นการกักบริเวณไปจนถึงการใช้หุ่นยนต์ในการดูแลผู้ป่วย
ถึงตรงนี้ ก็มาลงลึกไปถึงนวัตกรรมที่ได้รับการบรรจุลงไปในกระบวนการที่รัฐบาลทั่วโลกนำมาบริหารจัดการกับเจ้าไวรัสตัวนี้ ซึ่งขอเริ่มต้นกันที่ประเทศจีนกันก่อน ต้องบอกว่า วิกฤติไวรัสครั้งนี้ ประเทศจีนมีแนวทางในการรับมือที่เด็ดขาดมากกว่าครั้งก่อนๆ ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อหยิบข้อมูลในการรับมือกับ “ไข้หวัดนก” หรือ “ซาร์ส” (Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS) เมื่อปี 2003 โดยหลังจากการประกาศว่ามีประชาชนติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เกิดขึ้นในวันก่อนวันขึ้นปีใหม่ ภายในเวลาไม่ถึงเดือน “เมืองอู่ฮั่น” สถานที่ต้นทางของการเพาะเชื้อ ก็ถูกประกาศปิดเมืองในทันใด และทางการก็ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสอย่างรวดเร็ว โดยทางประเทศจีนได้ประกาศจำกัดการเดินทางเข้า-ออกจาก “มณฑลหูเป่ย์” หรือเรียกง่ายๆ ว่า คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า ตัดการคมนาคมทุกเส้นทาง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นการกักบริเวณขนาดใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศจีน เพราะมีประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ถึง 50 ล้านคน และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขในช่วงการระบาดของไข้หวัดนกในตอนนั้นก็ไม่ได้มีการปิดเมืองหรือกักบริเวณขนาดใหญ่มากมายขนาดนี้ เป็นแต่เพียงการแยกผู้ป่วยจำนวนหลายพันคน ซึ่งแน่นอนว่า หลายๆ คนก็ได้โต้แย้งและตั้งคำถามต่อวิธีการแบบนี้ว่า สามารถช่วยควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสได้จริงหรือไม่ และบ้างก็เกรงว่าการกักบริเวณที่เข้มงวดเกินไปอาจยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง และชุลมุนมากยิ่งขึ้น แต่ข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ก็หายไปแทบจะทันทีที่มีการประกาศจากทางสาธารณสุขจีนออกมาว่า มีการแพร่ระบาดจากคนสู่คนเกิดขึ้น
นอกจากนี้ สิ่งที่ทั่วโลกต้องยกนิ้วให้ทางรัฐบาลจีนก็คือ การประกาศสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ขึ้นมา 2 แห่ง ในพื้นที่เพาะเชื้อ เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อและควบคุมการระบาดของไวรัสอู่ฮั่น ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ โดยก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2003 รัฐบาลจีนเคยทำสถิติเอาไว้ในการสร้างโรงพยาบาลเพื่อบริหารจัดการผู้ติดเชื้อ“ไข้หวัดซาร์ส” (SARS) มาแล้วในเวลา 19 วัน กับตึกที่สูงกว่า 57 ชั้น แต่ครั้งนี้เป็นปฏิบัติการที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า เมื่อรัฐบาลจีนต้องการโรงพยาบาลขนาด1,000 ห้อง บนพื้นที่ 26,900 ตารางฟุตภายในเวลา 7 วัน และโรงพยาบาลหั่วเสินซาน “Houshenshan Hospital” (เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2563) ก็เปิดทำงานเต็มรูปแบบไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกแห่งโรงพยาบาลเล่ยเสินซาน “Leishenshan Hospital” ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า คือรองรับผู้ป่วยได้ถึง 1,300 เตียง บนพื้นที่323,000 ตารางฟุต คาดว่าอาทิตย์หน้าน่าจะเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้(ไม่เกิน 14 ก.พ. 2563)
ล่าสุด “สำนักข่าวซินหัว” ของทางการจีนรายงานว่า ทางการจีนได้สั่งระดมบุคลากรทางการแพทย์ราว 1,400 คนให้เริ่มปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ในวันจันทร์ที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งบุคลากรกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยทีมแพทย์จากโรงพยาบาลต่างๆ ในเครือกองทัพสนับสนุนโลจิสติกส์แห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ) จำนวน 950 คนและทีมแพทย์จากวิทยาลัยแพทย์ของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศอีก 450 คน
ทั้งหมดนี้เป็นความน่าทึ่งของจีนที่เกิดขึ้นในยามที่ประสบกับวิกฤติไวรัสครั้งนี้ นี่ยังไม่รวมถึงรูปแบบของการสื่อสารเพื่อสร้างกำลังใจที่กระจายเผยแพร่อยู่บนสังคมออนไลน์ในประเทศของพวกเขา รวมไปถึงการถ่ายทอดสดการสร้างโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง ดังที่กล่าวไปด้วย ที่สามารถกลบข่าวปลอม ข่าวเท็จที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับประชาชนจีนในช่วงต้นของการเกิดวิกฤติครั้งนี้ (ตรงนี้ไม่แน่ใจว่า เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หรือเป็นนวัตกรรมทางการสื่อสารที่รัฐบาลจีนหยิบนำมาใช้)
ขยับมาที่ประเทศญี่ปุ่นกันบ้าง ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา “ชินโสะ อาเบะ” นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประกาศให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กลายเป็น“วาระแห่งชาติ” โดยจะเพิ่มงบประมาณของปีนี้ให้มากขึ้น เพื่อกำหนดให้ เจ้าไวรัสอู่ฮั่นเป็น “โรคติดเชื้อพิเศษ” ที่หน่วยงานรัฐมีอำนาจพิเศษในการส่งคนเข้าตรวจ รักษาและให้บริษัทเอกชนสามารถให้พนักงานลาหยุด และไปตรวจร่างกายทันทีที่มีอาการน่าสงสัย ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ยินยอม หรือไม่อยากไปก็ตาม โดยรัฐบาลจะดูแลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเองทั้งหมด โดยทางการญี่ปุ่นได้จัดเตรียมโรงพยาบาลกว่า 400 แห่งทั่วญี่ปุ่นไว้สำหรับมาตรการนี้ทันที
ส่วนที่สหรัฐอเมริกาเองก็มีมาตรการรับมือกับไวรัสโคโรนาที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน หลังจากมีการรายงานผู้ป่วยติดเชื้อในสหรัฐอเมริกา โดยนอกเหนือจากการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาจากอู่ฮั่น ซึ่งก็ถือว่าเป็นมาตรการขั้นพื้นฐานของทุกประเทศแล้ว ที่ศูนย์การแพทย์ “Prov Everett” (ProvidenceRegional Medical Center) ที่ เมืองเอเวอเร็ตต์ (Everett) รัฐวอชิงตัน ได้นำ“แคปซูลสุญญากาศ” ที่เป็น NegativePressure (ห้องที่ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคหรือสารเคมีอันตรายแพร่ระบาดออกไปภายนอก) หรือที่เรียกันว่า ISOPODมาใช้ในการส่งตัวผู้ติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น (เพศชาย วัย 30 ปี) รวมไปถึงการรักษาพยาบาลโดยใช้หุ่นยนต์ เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อจากผู้ป่วยสู่คุณหมอและพยาบาล
รวมไปถึงที่ประเทศไทยของเรานี่เอง ซึ่ง “ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลราชวิถี” ได้ค้นพบสูตรยารักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา ด้วยการใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ และยาต้านไวรัสเอดส์ กำจัดไวรัสโคโรนาจากสารคัดหลั่งทางเดินหายใจ และทำให้อาการของผู้ป่วยสามารถดีขึ้นได้ภายใน 48 ชั่วโมงทั้งหมดที่ว่ามานี้ น่าจะยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ในภาวะอันวิกฤติ โอกาสยังเป็นของผู้ที่มีความหวังเสมอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี