นับถอยหลังไม่เกิน 100 วัน การเลือกตั้งครั้งสำคัญสำหรับชาวอเมริกันกำลังจะเกิดขึ้น ท่ามกลางสายตาจากทั่วโลกที่กำลังจ้องเขม็งว่า ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐอเมริกาจะเป็นใคร เพราะนั่นหมายถึงท่าทีที่สำคัญในการกำหนดทิศทางด้านความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ที่ทั่วโลกจะมีต่อกัน ผ่านวิสัยทัศน์ของบุคคลที่เสนอตัวเข้ารับการเลือกตั้งในครั้งนี้ นั่นคือ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรครีพับลิกัน และ“โจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดี(ในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา) จากพรรคเดโมแครต
แน่นอนว่า ปัญหาการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลให้คะแนนนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ ลดลงอย่างน่าใจหายในช่วงเวลานี้ และทำให้โจ ไบเดน มีคะแนนนิยมที่สูงขึ้นจนแซงหน้าได้ แต่ความน่าสนใจในส่วนต่างของคะแนนระหว่างกันก็คือ การเพิ่มขึ้นของคะแนนสำหรับ โจ ไบเดน นั้นเป็นผลมาจากความนิยมที่ลดลงของโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวง่ายๆ ได้ว่า คะแนนในส่วนนี้ไม่ได้เกิดจากความนิยมในตัวของโจ ไบเดน เอง ซึ่งทำให้ผลคะแนนที่ออกมายังไม่มีความเสถียรมากนัก และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร้การคาดเดา ดังนั้น ปัจจัยต่างๆ ต่อจากนี้ไปของผู้ท้าชิงทั้งคู่ จะกลายเป็นความนิยมที่มากขึ้นหรือลดลงก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ทัศนคติ อายุ ความเหมาะสม ฯลฯ ซึ่งได้นำมาประมวลเพื่อการเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนในบางส่วน ดังนี้
เริ่มด้วยเรื่องที่สื่อมวลชนระดับโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นั่นคือ “สภาพร่างกาย” เมื่อผู้เข้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีทั้งสองท่านมีอายุรวมกันถึง 151 ปี ซึ่งถือว่ามีอายุมากทั้งคู่ ความเป็นห่วงในเรื่องของสมรรถภาพร่างกายในการบริหารราชการในฐานะผู้นำสูงสุดจึงเกิดขึ้น แม้ว่าทั้งสองท่านจะทำการตรวจสุขภาพร่างกายอย่างถี่ถ้วนจนได้รับการการันตีมาแล้วว่า แข็งแรงและสามารถทำงานในตำแหน่งประธานาธิบดีได้ แต่การเลือกตั้งในสมัยที่แล้ว “ฮิลลารีคลินตัน” จากพรรคเดโมแครต ก็ถูกไล่ต้อนด้วยเรื่องปัญหาด้านสุขภาพจนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอพลาดจากเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ มาแล้ว ดังนั้น เรื่องของอายุที่ส่งผลต่อสุขภาพและสมรรถภาพก็เป็นเรื่องที่วางใจไม่ได้ และโจ ไบเดน ก็กำลังเจอกับมรสุมในประเด็นนี้อยู่ในช่วงเวลานี้
ประเด็นถัดมาที่เกริ่นไปบ้างแล้วคือ มาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ตอนนี้สหรัฐอเมริกามีอัตราคนที่ติดเชื้อสูงมาก และจำนวนผู้เสียชีวิตที่ขึ้นหกหลักไปแล้ว ซึ่งโดนัลด์ทรัมป์ ถูกโจมตีอย่างมากว่าบริหารสถานการณ์ผิดพลาด แม้เจ้าตัวจะพยายามจะยืนยันว่ามาตรการในการจัดการกับไวรัสโควิด-19 ของตัวเองนั้นมาถูกทางแล้วก็ตาม ต่างจากโจ ไบเดน ที่เลือกเชื่อในแนวทางจัดการสถานการณ์ไวรัสโควิด-19ที่แตกต่างจากโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยการรณรงค์ให้ทุกคนอยู่กับบ้าน เว้นระยะห่างสวมหน้ากากอนามัย และอย่ารู้สึกปลอดภัยจนกว่าโลกใบนี้จะมีวัคซีน และก็มีประชาชนมากมายให้ความเห็นชอบกับแนวทางของโจ ไบเดน แม้โดนัลด์ ทรัมป์ จะพยายามสร้างความเข้าใจอย่างหนักว่า ถ้าไม่พยายามนำพาประเทศกลับมาเป็นปกติโดยไว ระบบเศรษฐกิจของอเมริกาก็จะพัง และนำไปสู่ความเสียหายที่มากมายมหาศาลของคนอเมริกัน ซึ่งก็มีบางส่วนที่เห็นด้วยและสนับสนุน แต่ส่วนใหญ่เลือกความปลอดภัยของตัวเองมาก่อนทางรอดของระบบเศรษฐกิจประเทศ สำหรับประเด็นนี้ เชื่อว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ทราบดีว่า ทำให้คะแนนนิยมของตัวเองหดหาย และล่าสุดเขาเองก็ “แก้เกม” ด้วยการยอม “กลืนเลือด” หยิบหน้ากากมาใส่เวลาออกสู่ฝูงชนหลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีสักครั้งที่เราจะเห็นเขาใส่หน้ากากอนามัยปรากฏในภาพข่าว
เช่นเดียวกันกับเรื่องของการ เปิด-ปิดโรงเรียน ก็เป็นประเด็นที่โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องลำบากใจ ในเมื่อเขาต้องการให้โรงเรียนทั่วประเทศกลับมาทำการเรียนการสอนตามปกติ แต่ “สมาพันธ์ครู” ในหลายรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงของเดโมแครต มีความเห็นต่าง พวกเขาคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเรียน เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน ซึ่งโจ ไบเดน เห็นด้วยและให้การสนับสนุน
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือการประกาศของโจ ไบเดน เกี่ยวกับรองประธานาธิบดีของเขาที่จะเป็นผู้หญิงนั้นก็ดูเหมือนจะได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเสมือนการสื่อสารออกไปในเรื่องของความเท่าเทียมทางเพศที่จะได้รับการให้ความสำคัญในสหรัฐอเมริกาที่มีเขาเป็นผู้วางนโยบาย ซึ่งในประเด็นนี้ได้กลายเป็นจุดบอดของโดนัลด์ ทรัมป์ มาตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว และกลายเป็นเรื่องที่เขาถูกโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการอธิบายให้ความเข้าใจในหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับ “การให้เกียรติผู้หญิง” แล้วก็ตาม
แน่นอนว่า หลังโจ ไบเดน ประกาศเช่นนั้น สื่อในสหรัฐฯ ก็ลิสต์รายชื่อนักการเมืองหญิงจากฝั่งของเดโมแครตขึ้นมาคาดเดากันมากมาย ตั้งแต่ “TammyBaldwin” วุฒิสมาชิกจากรัฐวิสคอนซิน ซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกอาวุโสที่ได้รับความนิยมสูงมาก “Gina Raimondo” ผู้ว่าการจากโรดไอส์แลนด์ ที่มีความคล้ายกับโจ ไบเดน ที่เป็นคาทอลิก ชนชั้นแรงงาน และนักการเมืองในรัฐเล็กๆ ซึ่งเธอก็ได้รับการยกย่องเรื่องความสามารถในการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากทั่วประเทศ “Elizabeth Warren” วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่ก่อนหน้านี้เป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงการเลือกตั้งขั้นต้นด้วย ซึ่งสื่อหลายสำนักก็คาดกันว่า รายชื่อนี้แหละที่จะเป็นตัวจริง ถ้าโจ ไบเดน ต้องการรองประธานาธิบดีเป็นผู้หญิงผิวขาว
แต่ถ้าโจ ไบเดน ต้องการแสดงความชัดเจนในการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนผิวสี เชื่อมโยงไปกับการชุมนุมต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีขึ้นอย่างแพร่หลายในสหรัฐฯ หลังการเสียชีวิตของ “จอร์จฟลอยด์” ในระหว่างการควบคุมตัวของตำรวจผิวขาว นักวิเคราะห์ทางการเมืองก็มองว่า เขาอาจเลือกรองประธานาธิบดีที่เป็นผู้หญิงผิวสีก็เป็นได้ และรายชื่อก็ปรากฏมาให้เลือกมากมาย อาทิ Tammy Duckworth, Karen Bass, Keisha Lance Bottoms, Susan Rice และ Kamala Harris ซึ่งคนสุดท้ายนี้ เป็นวุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นนักกฎหมาย ที่สื่อให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นตัวเต็งที่สุด
สำหรับการประชุมใหญ่ระดับประเทศ (Presidential Convention) ในฝั่งเดโมแครต มีกำหนดการในวันที่17-20 สิงหาคม 2563 ส่วนทางรีพับลิกัน จะเป็นวันที่ 24-27 สิงหาคม 2563 ส่วนการโต้วาทีตามเวทีของสื่อต่างๆ ของคู่แข่งขันทั้งสองคนนั้น ถ้ามองย้อนกลับไปในสมัยของฮิลลารีคลินตัน ก็ถือว่าไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนั้นเธอชนะการโต้วาทีทุกครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี ดังนั้น เวทีโต้กันไป-มาก็คงเป็นเพียงสีสันที่เชิญชวนให้คนออกมาใช้สิทธิ์กันเยอะๆ เว้นเสียแต่จะมีใครสักคนพูดหรือตอบอะไรออกมาแล้วสร้างความผิดหวังต่อประชาชนเป็นอย่างมาก นั่นจะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงคะแนน ซึ่งเชื่อว่า โจ ไบเดน คงไม่พลาดในเรื่องนี้ แต่กับโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่มีอะไรคาดเดาได้อยู่แล้ว รวมไปถึงเรื่องที่อาจคาดไม่ถึง ที่อาจเป็นปัจจัยทั้งบวกและลบต่อคะแนนนิยมของทั้งคู่ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอะไรได้เหมือนกัน ดังนั้นไม่ถึง 100 วันนับจากนี้ กระบวนการได้มาซึ่งผู้นำในประเทศต้นแบบประชาธิปไตย จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี