โรคต่อมลูกหมากเป็นโรคที่พบบ่อยมากในผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคต่อมลูกหมากโต (benign prostatic hyperplasia, BPH) และมะเร็ง ถ้าผู้ชายทุกคนมีอายุยืนยาวพอ จะมีโรคต่อมลูกหมากโตกันแทบทุกคน และมีจำนวนมากที่จะเป็นโรคมะเร็งด้วย
ด้วยเหตุนี้เองวงการแพทย์จึงแนะนำให้ตรวจคัดกรองหาโรคของต่อมลูกหมากเมื่ออายุประมาณ 45-55 ปี การตรวจคัดกรอง คือ การตรวจในผู้ที่ยังไม่มีอาการ แต่ถ้ามีอาการก็ต้องตรวจเลยไม่ต้องรอจนอายุถึงเกณฑ์
ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากจำนวนมากไม่มีอาการ อาการของโรคต่อมลูกหมากโต(ไม่ใช่มะเร็ง) เหมือนกันกับอาการของโรคมะเร็ง กล่าวคือ มีความต้องการที่จะปัสสาวะบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืนมีความยากลำบากในการเริ่มต้นหรือหยุดปัสสาวะ น้ำปัสสาวะพุ่งไม่แรงหรือไหลๆ หยุดๆ ปัสสาวะไม่ออก เวลาปัสสาวะจะปวดหรือร้อน หรือเวลาหลั่งน้ำอสุจิจะปวด มีเลือดในปัสสาวะ หรือในน้ำอสุจิ ปวดหรือตึงหลัง สะโพก หรือส่วนบนของขา ฯลฯ
ถ้าไม่มีอาการ และอายุถึงเกณฑ์ ควรปรึกษาแพทย์ทางผ่าตัดไต (urosurgeon) เพื่อการตรวจคัดกรองหาโรคต่อมลูกหมาก หลักๆ มี 2 วิธี คือ หนึ่ง digital rectal examination, DRE โดยแพทย์จะใส่ถุงมือและให้ผู้ถูกตรวจนอนตะแคงซ้าย งอเข่าชิดอกแล้วแพทย์จะใส่นิ้วเข้าไปในรูทวาร เพื่อคลำต่อมลูกหมากที่อยู่ข้างหน้าของลำไส้ใหญ่ผ่านผนังของลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมากที่ปกติจะมีขนาดเล็ก มีความกว้างประมาณ 1 นิ้ว การคลำจะพบว่าต่อมลูกหมากนุ่ม เรียบ คล้ายยาง (rubbery) แต่ถ้าบวม มีก้อน หรือพื้นผิวผิดปกติ อาจบ่งว่าเป็นมะเร็งหรือโรคอื่น
แต่ถ้าเป็นมะเร็งในระยะแรก การคลำอาจไม่พบอะไร หรือมะเร็งอาจอยู่ที่อื่นที่นิ้วมือคลำไม่ถึง เพราะที่แพทย์คลำได้ คือ ส่วนหลังของต่อมลูกหมากเท่านั้น ฉะนั้นการตรวจผ่านรูทวารอาจไม่พบมะเร็ง การตรวจด้วย DRE เป็นวิธีที่วงการแพทย์ยอมรับ มีประโยชน์มาก ทำได้ง่ายและไม่เจ็บ
อีกวิธีหนึ่ง คือ การตรวจเลือดหาระดับ prostate-specific antigen(PSA) ซึ่งมีการเริ่มนำมาใช้ในช่วง ค.ศ.1990s เพื่อที่จะพยายามหามะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรกๆ เพื่อหวังว่าจะได้รีบรักษาให้ได้ผล
แต่ PSA เป็นสารที่สร้างขึ้นทั้งจากเซลล์มะเร็ง และเซลล์ต่อมลูกหมากปกติก็ผลิต PSA ได้ เมื่อต่อมลูกหมากถูกกระตุ้น มีการระคายเคือง มีการอักเสบ จะมีระดับ PSA สูงขึ้น ฉะนั้นระดับ PSA ที่สูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคมะเร็งทุกราย มีสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้ PSA สูงขึ้นได้ เช่น ต่อมลูกหมากโต BPH, ต่อมลูกหมากอักเสบ การมีเพศสัมพันธ์ ขี่จักรยาน ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือการใส่ท่อปัสสาวะ การตัดชิ้นเนื้อของต่อมลูกหมาก (biopsy) การตรวจ DRE ฯลฯ
ฉะนั้นการตรวจหาระดับ PSA จึงเหมือนดาบ 2 คม ต้องพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบ การที่มี PSA ที่ระดับสูงอาจเป็นผลบวกลวง (false positive) กล่าวคือ PSA สูงแต่ไม่มีมะเร็ง แต่ในขณะเดียวกัน PSA ยังตรวจไม่พบมะเร็ง 15% หรือผลลบลวง ควรตรวจระดับ PSA ไว้เป็นพื้นฐานตอนอายุ 40 ปี หรือ 50 ปี เพื่อคอยเปรียบเทียบกับระดับในระยะหลังๆ
และถึงแม้ PSA จะทำให้ผู้ป่วยถูกนำไปสู่การตรวจเพิ่มเติมและพบมะเร็งจริง แต่มะเร็งต่อมลูกหมากมีทั้งที่โตช้าและโตเร็ว ในรายที่โตช้ามาก มักไม่ทำให้เกิดปัญหา ฉะนั้นการตรวจ PSA จะไม่ช่วยอะไรในกลุ่มนี้ นอกจากอาจทำให้มีการตรวจเพิ่มเติม รักษา มากเกินความจำเป็น ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากการตรวจและรักษา เช่น การทำ rectal biopsy (ตัดชิ้นเนื้อของต่อมลูกหมากผ่านทวาร) อาจทำให้มีอาการเจ็บปวด เลือดออก มีการติดเชื้อ ฯลฯ วงการแพทย์ประเมินว่ามีประมาณ 23-43% ที่พบมะเร็งที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพราะโตช้ามากจนไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไร มะเร็งที่โตลามช้า แพทย์และผู้ป่วยอาจเฝ้าติดตามเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม PSA ถ้าใช้ให้เป็น ยังมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งการรักษาจะได้ผลและการตรวจวินิจฉัย รักษา พอรับได้ เมื่อเทียบกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจมี
PSA ถูกนำมาใช้ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มแรก แต่ยังมีประโยชน์มากในการติดตามผลการรักษาหลังการผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออก และหลังการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมน ทั้ง 2 วิธีการรักษานี้จะทำให้ระดับของ PSA ลดลงเป็นอย่างมาก รวมทั้งการรักษาด้วยรังสีด้วย แต่รังสีจะลด PSA ได้น้อยกว่า
ถ้าระดับ PSA สูงขึ้นหลังการรักษา แสดงว่าการรักษาไม่ได้ผล ฉะนั้นการตรวจหาระดับ PSA จึงมีบทบาทมากในช่วงของการรักษาโรคมะเร็ง ว่าได้ผลหรือไม่
ตามที่กล่าว การตรวจหาระดับ PSA อาจนำไปสู่การตรวจเพิ่มเติม เช่น ultrasound, MRI, biopsies เพื่อจะยืนยันว่ามีมะเร็งหรือไม่ ถ้ามี อาจนำไปสู่การผ่าตัด หรือการฉายแสง และการให้ ADT (androgen deprivation therapy) เพื่อลดฮอร์โมนเพศชายที่มีส่วนทำให้มะเร็งโต ซึ่งผู้ชายหลายคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีมะเร็งที่โตช้า (ดูได้จากการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิ) อาจได้รับการรักษาโดยที่ไม่มีความจำเป็น ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาได้ เช่น การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ impotence (ความไร้สมรรถภาพทางเพศ) ฯลฯ
ค่าปกติของ PSA อยู่ไม่เกิน 4 nanogram per milliliter (ng/ml) ถ้าระดับอยู่ที่ 4-10 มี 25% โอกาสที่จะเป็นมะเร็งถ้า PSA มากกว่า 10 โอกาสเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% PSA ยิ่งสูงยิ่งมีโอกาสเป็นมะเร็ง
การตรวจหา PSA การทำการตรวจเพิ่มเติม การที่จะรักษาหรือไม่ด้วยวิธีต่างๆ ควรเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยในแง่ของข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละวิธีการตรวจและรักษา ที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งที่โต ลามช้ามาก
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี