หลายท่านคงเคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้ เช่น แม่แมวใจแตกแอบมาคลอดลูกทิ้งไว้ในบ้านของเรา หรือแม้แต่เจ้าด่างเจ้าเหมียวที่เราเลี้ยงไว้นั้นคลอดลูกเป็นครอกแรกแถมยังเลี้ยงลูกไม่เป็น ครั้นเราจะปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แยแส ลูกหมาลูกแมวเหล่านั้นก็คงจะตายเสียเปล่าๆ การเป็นแม่นมนั้น จะมีหลักการ ขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติอย่างไรบ้างวันนี้เราคุยเรื่องนี้ เพื่อช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้กับลูกสัตว์กำพร้าเหล่านั้นกันครับ
@กรณีใดบ้างที่เราต้องทำหน้าที่เป็นแม่นมให้สัตว์
สถานการณ์ที่เราต้องพบเจอลูกสัตว์กำพร้าและทำให้เราต้องกลายเป็นแม่นมมีหลายกรณี ได้แก่
- แม่สัตว์มาคลอดลูกทิ้งไว้ แล้วไม่ยอมมาดูแลเลี้ยงลูก
- แม่สาวที่เพิ่งเคยคลอดลูกครอกแรก แต่เลี้ยงลูกไม่เป็น ปล่อยลูกทิ้งไว้โดยไม่สนใจ
- การที่แม่สัตว์เสียชีวิตหลังคลอด
- การที่แม่สัตว์ป่วย หรือมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาด้วยยาอันตราย ที่สามารถถ่ายทอดทางน้ำนมได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อลูก จึงไม่สามารถให้นมลูกได้เป็นต้น
@หลักของแม่นมสัตว์ในการดูแลมีอะไรบ้าง?
สำหรับหลักการสำคัญในการเป็นแม่นม ขอสรุปได้อย่างง่ายๆ เพียง 3 ข้อสั้นๆ ที่จำง่ายๆ ว่า “อุ่น อิ่ม อึ” ซึ่งขอลงรายละเอียดดังนี้
1.“อุ่น” มาจาก “ความอบอุ่น” ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญข้อแรก เนื่องจากลูกสัตว์ที่เกิดใหม่นั้น จะมีอุณหภูมิร่างกายที่ค่อนข้างต่ำ และอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิจากในท้องแม่มาสู่อุณหภูมิของโลกภายนอก ความอบอุ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก (เราจะเห็นได้ทั่วไป จากการที่แม่สุนัขหรือแมวที่นอนขดตัวเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ลูก รวมถึงแม่ไก่ที่นั่งกกไข่หรือลูกเจี๊ยบเกือบตลอดเวลานั่นเอง)
ส่วนใหญ่แล้ว ตามโรงพยาบาลสัตว์ หรือคลินิกรักษาสัตว์ มักจะใช้ตู้ควบคุมอุณหภูมิ เพื่อให้ความร้อนที่อบอุ่นสม่ำเสมอ แต่กรณีที่เราอยู่บ้าน เราสามารถทำได้ด้วยการใช้โคมไฟอ่านหนังสือที่มีแสงนวลๆ (ไม่ใช่หลอดไฟ LED) หลอดไฟประเภทนี้จะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งสามารถนำมาใช้ให้เกิดความอบอุ่นได้
หลักการสำคัญที่สุดในการกกก็คือ การดูแลอุณหภูมิให้กับลูกสัตว์ในช่วงแรกคือ เพื่อรักษาระดับการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือดของลูกสัตว์ให้ทำงานได้เป็นปกติ
แต่สิ่งที่ต้องระวังในการกกไฟก็คือ
- ต้องควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงเกินไป เพราะจะสามารถทำให้เกิดอันตรายกับผิวหนังของลูกสัตว์ได้ โดยจะทำให้ผิวหนัง (ที่บอบบาง) นั้นไหม้ เกิดเป็นแผล และติดเชื้อ ซึ่งสามารถเสียชีวิตในที่สุด ในกรณีที่ใช้ตู้ควบคุมอุณหภูมิสำหรับอบลูกสัตว์ ก็ควรตั้งอุณหภูมิที่ 37-38 องศาเซลเซียส
โดยที่เราสามารถตรวจสอบความร้อนแบบง่ายที่สุดก็คือ ลองทดสอบความร้อนด้วยหลังมือของเราเอง ว่าร้อนจนเกินไปหรือไม่ นอกจากนี้ให้สังเกตอาการลูกสัตว์ว่าอยู่ได้อย่างสบาย ไม่กระวนกระวาย หรือพยายามคลานหนีจากตำแหน่งไฟกกหรือไม่หากร้อนเกินไป เราก็ลดอุณหภูมิลงได้โดยการปรับไฟกกให้ห่างจากตัวลูกสัตว์มากขึ้น
- ต้องระมัดระวังเรื่องไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งกรณีนี้จะเป็นอันตรายมากต่อทั้งลูกสัตว์และคนในบ้าน อาจทำให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้มากทีเดียว
- ระวังอันตรายจากอุบัติเหตุ จากการกระแทก หรือจากการร่วงหล่นของโคมไฟใส่ลูกสัตว์ แล้วเกิดการการบาดเจ็บ หรือเกิดการลุกไหม้ของไฟได้
2.“อิ่ม” เป็นหลักการข้อที่สอง นั่นคือเรื่องของความอิ่มในการกิน ลูกสัตว์แรกเกิดนั้นหากไม่ได้น้ำนมจากแม่ ก็ควรได้รับสารทดแทนน้ำนมแม่สัตว์อย่างเพียงพอ
โดยนมที่เลือกใช้ในลูกสัตว์แรกเกิดควรเป็นนมที่ผลิตมาเพื่อทดแทนน้ำนมแม่โดยเฉพาะ แต่ในกรณีที่หาไม่ได้จริงๆ เราอาจใช้นมแพะป้อนให้กิน เนื่องจากมีโมเลกุลค่อนข้างเล็ก ง่ายต่อการดูดซึม ควรหลีกเลี่ยงนมวัวเพื่อลดโอกาสเสี่ยงจากการเสียชีวิตเนื่องจากการท้องเสีย ท้องอืดได้
โดยปกติแล้ว ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด ลูกสัตว์ควรได้รับ “นมน้ำเหลือง” หรือ colostrum จากแม่ ซึ่งเป็นนมที่มีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากแม่สัตว์ส่งต่อถึงลูก (โดยในช่วงเวลาไม่เกิน 1-2 วันแรกหลังคลอดนั้น ลำไส้ของลูกจะสามารถดูดซึมภูมิคุ้มกันเหล่านี้เข้าไปได้ แต่หลังจากนั้น ก็จะไม่สามารถดูดซึมได้แล้ว) เราจึงพบว่าลูกสัตว์กำพร้าที่ไม่ได้รับนมน้ำเหลืองจากแม่นั้น เมื่อเติบโตมามักจะมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าลูกสัตว์ปกติที่ได้รับน้ำนมเหลืองจากแม่ จึงทำให้สามารถติดโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าลูกสัตว์ทั่วไป
การป้อนนมลูกสัตว์กำพร้ามีหลักการ ที่ควรต้องตระหนักไว้คือ “ป้อนทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง“ โดยปกติแล้ว ควรป้อนทุก 2-3 ชั่วโมง นอกจากนี้อุปกรณ์ที่ใช้ป้อนนม ก็ควรใช้ขวดนมสำหรับลูกสัตว์โดยเฉพาะ และเลือกจุกนมให้มีขนาดเหมาะสมกับปากของสัตว์ หากลูกสัตว์ยังดูดไม่เป็น ก็อาจต้องใช้ไซริงค์หรือกระบอกฉีดยา (ที่ประยุกต์ด้วยการติดปลายด้วยยางนิ่มๆ เช่นใส้ไก่ยางในของรถจักรยาน) ใช้ป้อนลูกสัตว์ชั่วคราวก่อนก็ได้
สำหรับปริมาณน้ำนมที่เหมาะสมนั้น ขึ้นกับขนาดตัวของลูกสัตว์ ลูกสัตว์จะกินไม่มาก และจะหยุดกินเองเมื่ออิ่มท้อง หรือเราจะสังเกตได้จากลักษณะของท้องที่ขยายขนาดขึ้นก็ได้
แต่มีข้อควรระวังในการป้อนนมดังนี้
- ชนิดของนม (ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ควรเป็นสารทดแทนนม หรืออาจใช้นมแพะแต่ไม่ควรเป็นนมโค)
- ความสะอาดและการปนเปื้อนแบคทีเรียในนมที่ชงทิ้งไว้ (หรือที่เรียกว่านมบูดนั้นเอง)
- อุณหภูมิของนมที่ให้ลูกสัตว์กิน ต้องอุ่นพอควร เพื่อป้องกันภาวะท้องอืดจากการกินนมที่เย็นเกินไป แต่จะต้องไม่ร้อนเกินไปจนเกิดการลวกปาก ลิ้น และทางเดินอาหารซึ่งเราสามารถทดสอบความอุ่นได้ โดยลองหยดนมมาที่หลังมือของเรา ถ้าร้อนเกินไปก็ต้องปล่อยให้เย็นลงก่อน
- การสำลักจากการป้อนนมในกรณีที่ให้ปริมาณมากและเร็วเกินไป หรือการเจาะรูที่จุกนมใหญ่เกินไปทำให้ลูกสัตว์กลืนไม่ทัน และสำลักนมเข้าปอด เกิดการติดเชื้อ และอาจถึงเสียชีวิตได้ทันที
- การเจาะรูที่จุกนมเล็กเกินไป ก็จะทำให้ลูกสัตว์ดูดนมไม่ได้
3.“อึ” หลักการข้อที่สามคือเรื่องของการขับถ่ายของเสีย (ทั้งนี้รวมทั้งอุจจาระและปัสสาวะ) การขับถ่ายนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเสมอว่า ทุกครั้งที่ลูกสัตว์ได้รับน้ำนมจะต้องมีการขับถ่ายควบคู่กันไป มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาท้องผูกท้องอืดหรือมีของเสียสะสมในทางเดินอาหาร
ในภาวะปกติ เราจะเห็นว่าแม่สัตว์จะเลียทำความสะอาดตัวลูกสัตว์ โดยการเลียบริเวณ
อวัยวะเพศและทวารนั้นเป็นการทำเพื่อกระตุ้นลูกสัตว์ให้ขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะออกมา สำหรับลูกสัตว์กำพร้า แม่นมต้องช่วยกระตุ้นการขับถ่ายแทนแม่สัตว์ด้วยการใช้“สำลีชุบน้ำอุ่น” เช็ดบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนักทดแทนการเลียของแม่สัตว์อ้วย
มีข้อควรระวังในการกระตุ้นการขับถ่ายดังนี้
- ต้องทำทุกครั้งหลังป้อนนมลูกสัตว์
- ควรให้เวลากับการกระตุ้นการขับถ่ายในลูกสัตว์ด้วย เนื่องจากลูกสัตว์บางตัวจะใช้เวลาค่อนข้างนานหลังจากการกระตุ้นกว่าจะเกิดการขับถ่าย
- ต้องทำด้วยความอ่อนโยน ไม่จำเป็นต้องทำด้วยความรุนแรง แต่ใช้ความอุ่นของน้ำที่ชุบสำลีในการกระตุ้นให้เกิดการขับถ่าย
- หากลูกสัตว์ไม่ยอมขับถ่าย แม่นมควรพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็ว
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นหลักการเบื้องต้นในการเป็นแม่นมให้ลูกสัตว์กำพร้า ซึ่งหากเราทราบข้อมูลเหล่านี้แล้ว เราทุกคนก็สามารถช่วยเหลือลูกสัตว์กำพร้าให้มีโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น และเมื่อโตขึ้นจนมีอายุครบสำหรับทำวัคซีนแล้วละก็ อย่าลืมพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อเริ่มโปรแกรมวัคซีนด้วยนะครับ เพราะว่าลูกสัตว์กำพร้ามีภูมิคุ้มกันค่อนข้างต่ำกว่าปกติ วัคซีนจึงเป็นช่องทางสำคัญที่สามารถช่วยป้องกันลูกสัตว์จากโรคติดเชื้อต่างๆ ได้ครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ภาควิชากายวิภาคศาสาสตร์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี