มีหลายเหตุการณ์ ที่สะท้อนความรักความผูกพันที่ผู้คนกลุ่มต่างๆ มีต่อ “นายทักษิณ ชินวัตร” ทั้งเมีย ลูก ลูกเขย น้องสาว น้องเขย ทนายความ สส. อดีตรัฐมนตรี และพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดง ที่แสดงความห่วงหาอาทรแบบไม่หยุด ไม่แผ่ว
1) จากเดิมที่เคย “ป่วยวิกฤต” นอนพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ น่าแปลก ที่ช่วงเวลาดังกล่าว เราแทบไม่เคยเห็นภาพการเดินทางเข้าเยี่ยมของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, ลูกสาว ลูกชาย ลูกเขย ลูกสะใภ้ น้องสาว น้องเขย ฯลฯ ทั้งๆ ที่เวลานั้น ให้ข่าวแก่สังคมว่า นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ป่วยวิกฤต แต่ช่างผิดวิสัยของคนในครอบครัว ที่แทบไม่ไปมาหาสู่ เยี่ยมเยียน ดูใจ ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น จนนำมาสู่การตั้งคำถามว่า มีตัว “นักโทษ” อยู่บนชั้น 14 นั้น จริงหรือไม่
2) อาการเจ็บไข้ได้ป่วย ยามอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก็แทบหาคน “ให้ข่าว” แทบไม่มี ยามนี้ที่มาอยู่เรือนจำกลางคลองเปรม มีคนให้ข้อมูลเรื่องอาการเสมอ แม้กระทั่งราชทัณฑ์เอง ข้ออ้างที่เคยบอกว่า เป็นสิทธิของผู้ป่วย หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ดูเหมือนจะไม่ถือเคร่งเท่าเก่า เหมือนอยากจะบอกเล่า เลี้ยงกระแสให้บุคคลนอกคุกเชื่อว่า เขาอยู่ในคุกจริงๆ นะ เขามีอาการอย่างนั้นอย่างนี้
3) มีความพยายาม “เติมคุณค่า” ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ที่ต้องเข้าคุกเพราะโกงบ้าง เพราะใช้อำนาจเพื่อสร้างประโยชน์ทับซ้อน เอาเงินหลวงเขากระเป๋าตัวเอง ด้วยการพยายาม “หางาน” ให้นักโทษคนนี้ทำ เช่น ลูกสาวเคยบอกว่า พ่อจะทำหน้าที่คุมนักโทษ ออกมาล้างท่อ จนเรือนจำและราชทัณฑ์ต้อง “แหกหน้า” ด้วยการบอกว่า คุณสมบัติยังไม่ครบที่จะอนุญาตให้ทำเช่นนั้น ต่อมาก็พูดกันอีกว่า ราชทัณฑ์จะให้สอนภาษาอังกฤษแก่นักโทษ
4) กระบวนการเหล่านี้ คือ ความพยายามจะดึง “ภาพจำ” ของ “นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ” ออกจากการ “จำได้” ของผู้คนว่า “เขาติดคุกเพราะโกง” โดยเฉพาะที่ต้องมาติดคุก อยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรมในครั้งนี้ ก็เพราะเขา “โกงพระบรมราชโองการ” ที่ทรงอภัยลดโทษ จากโทษจำคุก 8 ปี เหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี โดยมีกระบวนการอ้างอาการป่วย เพื่อจะได้เอาตัวออกจากคุก ไปอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนถูกจับได้ว่าไม่ได้ป่วยวิกฤตตามที่อ้าง ส่งตัวออกจากคุกไม่ถูกต้องตามระเบียบและขั้นตอนตามกฎหมาย รับตัวไว้ในโรงพยาบาลตำรวจก็ผิดไปจากระเบียบและขั้นตอนเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงต้องดิ้นรนจะทำให้นักโทษคนนี้ “มีประโยชน์-มีคุณค่า-มีจิตอาสา” เลิกป่วยปางตาย อยากทำตนให้เป็นประโยชน์ในคุกขึ้นมาบ้างแล้ว
5) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ ใบแถลงการณ์เรื่อง ดร.ทักษิณ ชินวัตรในเรือนจำ วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม 2568 เวลา 10.30 น. ณ บริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม
เป้าหมายของกิจกรรมในวันนี้คือ การตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของสื่อมวลชนสากลจำนวนมาก เพื่อขอข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งยังได้รับความสนใจในทุกความเคลื่อนไหว และยังเป็น “ประเด็น” ตามที่บางคนกล่าวไว้ เราจึงมาพบกันในวันนี้
ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนนี้ เป็นต้นมา ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย เริ่มถูกคุมขังจากคดีที่มีความเกี่ยวพันทางการเมือง ที่ต้องคำพิพากษาให้รับโทษคุมขังเป็นเวลาหนึ่งปี การจำคุกไม่ได้เงียบเชียบหรือถูกลืมตามที่ผู้สนับสนุนของเขาได้แสดงออกอย่างชัดเจนด้วยการมาปรากฏตัวที่เรือนจำกลางคลองเปรมแห่งนี้อย่างมีมารยาทสถานที่ เฉพาะสมาชิกในครอบครัวและทนายความของ ดร.ทักษิณเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมถึงภายในเรือนจำได้
6) ที่ผมขีด “เส้นใต้บรรทัด” ไว้ นั่นคือ “คีย์เวิร์ด” ของยุทธศาสตร์ที่อาจเรียกว่า “การบำเพ็ญกุศลซากทักษิณ” นั่นคือ ความพยายามจะทำให้บุคคลที่ควรจะ “ตายทางการเมือง” จากการโกงชาติ โกงพระบรมราชโองการ ยัง “มีลมหายใจ” ในพื้นที่ข่าว และในความรู้สึกของคนอยู่ นอกเหนือจากการหมั่นให้ลูกเมียเครือญาติไปเยี่ยม เพื่อสื่อถึง “การมีคนรัก-มีคนห่วงใย” หรือ “มีความพลัดพราก” เกิดขึ้น ก็ยังเพิ่มเติมกระบวนการสร้าง “ภาพความดี” และ “ความอาลัยอาวรณ์” ของผู้คน เพื่อประคอง “ซากศพทางการเมืองซากนี้” ให้ยังมีความหมาย
7) ไม่น่าเชื่อว่า คนอย่าง “จักรภพ เพ็ญแข” จะร่วมเป็น“เจ้าภาพสวด” หรือตัวแทน “กล่าวคำไว้อาลัย” ในพิธีการนี้ ด้วยคำ“เลือนๆ” หรือ “ลดทอนความชั่ว” ให้แก่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณได้ ด้วยคำว่า “ถูกคุมขังจากคดีที่มีความเกี่ยวพันทางการเมือง”
8) จะขอยกตัวอย่างเดียว จากหนึ่งในโทษจำคุกของทักษิณ ชินวัตร คือ คดีให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ ปล่อยกู้ให้แก่พม่า เพื่อให้พม่าเวียนเงินกู้นั้นกลับมาซื้อบริการของบริษัทในเครือของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่อง “เลวทราม” และทุจริต” ผ่านการคิดนโยบาย” ให้เกิดประโยชน์ทับซ้อน” อย่างเห็นได้ชัด
9) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์
เหตุเกิด ช่วงปี 2546-2547 ทักษิณ ชินวัตร อาศัยความเป็นนายกรัฐมนตรีไทย สั่งการเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลทหารพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของครอบครัวตัวเอง โดยไปตกลงกับนายทหารระดับสูงของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าในขณะนั้น
ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2546 มีการประชุมสุดยอดผู้นำกัมพูชา ลาว พม่า และไทย ที่เมืองพุกาม สหภาพพม่า นายกฯ ทักษิณถึงขนาดอนุมัติให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ร่วมเดินทางเป็นคณะทางการด้วย
พนักงานบริษัทชินแซทเทลไลท์ฯ และบริษัทเอไอเอส กิจการของทักษิณ ก็ได้เข้าไปโชว์สินค้าบริเวณสถานที่จัดการประชุมด้วย ทั้งๆ ที่การประชุมไม่มีความตกลงความร่วมมือด้านโทรคมนาคม
จากนั้น ทักษิณ ชินวัตร สั่งให้เพิ่มเงินกู้สนับสนุนการพัฒนาโทรคมนาคมในชนบทของพม่า 3 โครงการ มูลค่า 24 ล้านดอลลาร์ โดยมีบริษัทชินแซทเทลไลท์ เป็นผู้ดำเนินโครงการ
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น ไม่เห็นด้วย เพราะเพิ่งจะอนุมัติให้เงินกู้พม่าไป 3 พันล้าน และยืนยันว่า “ไม่สมควรจะมีความร่วมมือด้านโทรคมนาคมเป็นการเฉพาะกับประเทศไทย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไทยเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดภายในประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ข้อครหาว่ามีผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้อง”
นายทักษิณลุแก่อำนาจถึงขนาดสั่งการว่า “เราให้หลักการขอไว้ 3,000 ล้านบาท เมื่อเขาขอมา 5,000 ล้านบาท ก็ให้พบกันครึ่งทาง ให้เขา 4,000 ล้านบาท และให้นายสุรเกียรติ์ แจ้งไปว่านายกฯ ทักษิณสั่งการว่าให้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท และจะให้การอุดหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย”
ในที่สุด เอ็กซิมแบงก์ต้องอนุมัติสินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลพม่า ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ต่ำกว่าต้นทุนในขณะนั้นรวมทั้งขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปีเป็น 5 ปี ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งธนาคาร
นั่นเป็นเหตุให้เอ็กซิมแบงก์ได้รับความเสียหายตามประมาณการโครงการทั้งสิ้น 670 ล้านบาท และกระทรวงการคลังต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ปี’49 และ ปี’50 ชดเชยความเสียหายคิดถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2551 เป็นเงิน 189 ล้านบาท
แม้ในภายหลัง ทางพม่าจะได้ชำระหนี้จนครบถ้วน เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 แต่นั่นก็ภายหลังจากการกระทำผิดสำเร็จแล้ว และเป็นการชำระหนี้ในยุคหลัง แต่ความจริงคือ ความจริง กระทรวงการคลังต้องเอาเงินภาษีคนไทยทั้งประเทศไปชดเชยให้เอ็กซิมแบงก์ เพราะอดีตนายกฯ ทักษิณต้องการช่วยให้กิจการของตนประกอบธุรกิจในพม่าอย่างราบรื่น ได้รับประโยชน์จากการขายสินค้า รวมทั้งเป็นผู้บริหารและที่ปรึกษาโครงการโทรคมนาคมแก่สหภาพพม่า
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 จำคุก 3 ปี
คำถามและคำชมถึง “นายจักรภพ เพ็ญแข” ก็คือ ช่างประดิษฐ์คิดค้นวาทกรรมสำนวนว่า “ถูกคุมขังจากคดีที่มีความเกี่ยวพันทางการเมือง” มาทอนน้ำหนักการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากเงินแผ่นดิน ได้อย่างเนียนๆ เก่งและกล้าเป็นอย่างยิ่ง ถ้านี่เป็นงานศพทักษิณจริงๆ แขกเหรื่อในงานที่รอร่วมวางดอกไม้จันทน์อาจถึงกับต้อง “หลั่งน้ำตา” ให้ผู้วายชนม์ ได้เลยทีเดียว
10) ส่วนที่จักรภพใช้คำว่า “การจำคุกไม่ได้เงียบเชียบหรือถูกลืม” นั้น อันนี้จริงๆ เพราะทักษิณจะ “ถูกลืมไม่ได้” เพราะหากทักษิณถูกลืมเมื่อไหร่ พรรคเพื่อไทยสลายเป็นเถ้าถ่านตามดวงวิญญาณแห่งทักษิณทันที หลังลูกสาวทำพรรคฉิบหายคามือ เพราะสติปัญญาไม่ถึง และตกอยู่ภายใต้การแทรกแซงบงการของผู้เป็นพ่อ
11) ครั้นถูกจับได้ด้วยว่า “โกงการติดคุก” มหกรรม “การชำระล้าง” แต่งศพทางการเมืองให้ จึงผนึกกำลังกันขนานใหญ่ นอกเหนือจากนักอธิบายแบบจักรภพแล้ว นอกเหนือจากเครือญาติเข้าเยี่ยมเพื่อมิให้ถูกลืมจากผู้คน และถูกลบไปจากพื้นที่ข่าวแล้ว ก็มีการระดม “คนเสื้อแดง” ไปทำกิจกรรมหน้าคุก โดยมีการแขวนป้ายและข้อความอยู่บนรั้วของเรือนจำกลางคลองเปรมด้วย
12) ป้ายสรรเสริญเยินยอ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร โดยเลือกรูปสวมชุดขาว มีครุยสวมทับ ประดับสายสะพายและเครื่องราชฯเต็มยศนั้น สะท้อนความโง่เขลาและบิดเบือน เพราะในความจริงทักษิณไม่มีสิทธิ์แต่งกายและประดับเครื่องราชเช่นนั้นแล้ว เนื่องจาก “ทักษิณ” นั้น ทั้งถูกถอดยศ พ.ต.ท. และถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย ดังปรากฏเรื่องการเรียกคืนเครื่องราชอยู่ในราชกิจจานุเบกษา ความว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลอื่น
เนื่องจากนายทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พิพากษาถึงที่สุดลงโทษจําคุกและยังมีข้อหาฐานอื่นๆ อีกหลายคดี อีกทั้งได้หลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นพฤติการณ์การกระทําที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๙ ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เรียกคืน เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกประถมาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นปฐมดิเรกคุณาภรณ์ และเหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ ๑ ของนายทักษิณ ชินวัตร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน”
สรุป : ประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน จึงเห็นอย่างชัดเจนว่า มีกระบวนการ “บำเพ็ญกุศลซาก” ทางการเมือง ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ยังมีลมหายใจ มีความดี มีความห่วงใย โดยที่ไม่ใส่ใจเรื่อง “ความจริง”
มันคือการสามัคคีกัน “บิดเบือน” เพื่อช่วยทักษิณไม่ให้ตายจากไปในทางการเมืองนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี