ผมได้เกริ่นนำเกี่ยวกับประวัติพี่วิศิษฎ์ ไว้บ้างแล้วในบทความก่อน วันนี้ขอนำเรื่อง “ความก้าวหน้าเรื่องการปลูกถ่ายอวัยวะของประเทศไทย” ที่พี่วิศิษฎ์ได้เขียนไว้มาให้พวกเราทราบความเป็นมาของการปลูกถ่ายอวัยวะในประเทศไทย
การปลูกถ่ายอวัยวะ คือ การนำอวัยวะจากที่หนึ่งไปไว้อีกที่หนึ่งอาจเป็นในคนเดียวกันหรือต่างคนก็ได้ ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่มีมาเป็นระยะยาวนาน ก้าวหน้าจนสามารถนำอวัยวะจากผู้เสียชีวิตหรือผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ นำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยที่อวัยวะสำคัญสูญเสียหน้าที่สมรรถภาพในการทำงานและหมดหวังที่จะรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้ว ชาวบ้านมักจะเรียกว่า การเปลี่ยนอวัยวะ ทำให้ผู้ที่ได้รับอวัยวะรอดชีวิตกลับมีชีวิตใหม่อีกครั้ง อวัยวะที่สามารถนำไปปลูกถ่ายได้ เช่น หัวใจ ปอด ตับ ไต ตับอ่อน ลำไส้เล็ก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถนำเนื้อเยื่อไปปลูกถ่ายได้เช่นกัน ได้แก่ ลิ้นหัวใจ ดวงตา ผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น ฯลฯ การปลูกถ่ายอวัยวะเป็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีชีวการแพทย์ (Biomedical technology) ที่สลับซับซ้อน การปลูกถ่ายอวัยวะเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2497 เมื่อ Joseph Edward Murray ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน ได้ผ่าตัดนำไตจากผู้บริจาคไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยที่เป็น พี่น้องฝาแฝดไข่ใบเดียวกัน หลังจากนั้นความเจริญได้บังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นับว่าวิทยาศาสตร์ได้ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ และทำให้สิ่งที่เป็นเพียงการทดลองหรือความฝันของแพทย์ให้เป็นจริง นำไปสู่ทางปฏิบัติหรือใช้รักษาพยาบาลผู้ป่วยทางคลินิกได้ และอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายและผู้ป่วยมีการรอดชีวิตดีขึ้นด้วย แต่ดังคำพังเพยที่ว่า สิ่งที่มีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์ได้ การปลูกถ่ายอวัยวะก็เช่นกัน ประการแรก ผู้ป่วยที่รับอวัยวะใหม่ร่างกายอาจมีปฏิกิริยาสลัดทิ้งหรือปฏิกิริยาปฏิเสธอวัยวะใหม่ที่ได้รับมา หรืออันตรายจากการรับยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infection) หรือมีโอกาสจะเกิดมะเร็งสูงกว่าประชากร ประการที่สอง ปัญหาอีกอย่างของการปลูกถ่ายอวัยวะคือ เมื่อการปลูกถ่ายได้ผลดีมากขึ้นความต้องการอวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายก็จะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จะเกิดสภาวะขาดแคลนอวัยวะ นำไปสู่การก่อปัญหาทางจริยธรรมและกฎหมาย ได้แก่ อาชญากรรม ซื้อขายอวัยวะ ข่มขู่ หรือลักพาตัว อนึ่ง ต้องระลึกไว้เสมอว่า “ไม่มีการปลูกถ่ายอวัยวะ ถ้าไม่มีผู้บริจาค”
การปลูกถ่ายอวัยวะในประเทศไทยเริ่มต้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2515 เป็นการปลูกถ่ายไตที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผลการปลูกถ่ายไตดีมาก หลังจากนั้นมีการปลูกถ่ายไตใน
โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์หลายแห่งในกรุงเทพมหานคร จนกระทั่ง พ.ศ.2530 ศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ได้พิจารณาออกเกณฑ์วินิจฉัยสมองตายโดยอาศัยหลักวิชาการแพทย์จากต่างประเทศ ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทย ยังไม่มีคำจำกัดความและไม่มีกฎหมายรองรับภาวะสมองตายคือการตาย กฎหมายบอกเพียงบุคคลเริ่มต้นเมื่อคลอดสิ้นสุดเมื่อตาย ไม่ได้บอกว่าการตายคืออะไร พจนานุกรมยังไม่มีคำจำกัดความของคำว่า “สมองตาย” ในปลายปีนั้นมีการปลูกถ่ายตับเป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2530 และปลูกถ่ายหัวใจเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2530 โดยขอรับอวัยวะจากญาติของผู้ป่วยสมองตาย ผลการปลูกถ่ายดีทั้งคู่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯทรงเยี่ยมผู้ป่วยทั้ง 2 คน หลังจากนั้นผู้บริหารสภากาชาดไทยเกรงว่าจะเกิดปัญหาจริยธรรม เช่น การซื้อขายอวัยวะ การจัดสรรอวัยวะ ด้วยโรงพยาบาลหลายแห่งพัฒนาความพร้อมในการปลูกถ่ายอวัยวะสภากาชาดไทย จึงเชิญผู้บริหารโรงพยาบาลที่มีความสามารถที่จะปลูกถ่ายอวัยวะได้ มาร่วมประชุมปรึกษาหารือ ที่ประชุมมีความเห็นควรจะมีหน่วยงานกลางที่ดูแลเรื่องการบริจาคอวัยวะจากผู้บริจาคสมองตายสร้างความเป็นธรรม เสมอภาค โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่หวังผลกำไร ป้องกันการซื้อขายอวัยวะ และสรุปว่าหน่วยงานนี้ ควรสังกัดสภากาชาดไทย จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี