ประวัติความเป็นมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันของโครงการเด็กไทยสายตาดี นำโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
ประเทศไทยมีโครงการเกี่ยวกับแว่นตามายาวนานตั้งแต่ 17-18 ปีที่แล้ว ซึ่งโครงการแรก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานทุนทรัพย์ 60,000 บาท ให้แก่ผู้ป่วยยากไร้ที่มีปัญหาสายตา ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและธนาคารแว่นโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ ร่วมกับบริษัทหอแว่นกรุ๊ป ได้จัดโครงการแว่นแก้วตั้งแต่ปี 2546 ช่วยเหลือคนยากไร้มาตลอดทุกปีไม่ขาด นอกจากนี้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันทางโรงพยาบาลศิริราชก็มีโครงการตรวจแว่นให้เด็กในเขตบางกอกน้อย ทางจุฬาฯ รามา และธรรมศาสตร์ รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ตามต่างจังหวัดก็ได้มีโครงการช่วยเหลือเช่นกัน
แต่ปัญหาคือโครงการต่างๆ ไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่องจึงไม่ยั่งยืน หลังจากนั้นโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ภายใต้สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ทำการวิจัยสำรวจเด็กในช่วงอายุ 3-12 ปี ตั้งแต่ปี 2554-2555 พบว่าในเด็กต่างจังหวัดมีความผิดปกติทางสายตาประมาณ 5-6% ส่วนเด็กในเขตเมืองมีความผิดปกติทางสายตาประมาณ 7-10% เพราะฉะนั้นโดยคำนวณแล้วจะมีเด็กประมาณ 300,000 คนที่มีสายตาผิดปกติทั่วประเทศไทย ซึ่งบางส่วนยังไม่ได้รับแว่นตา
ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จนเมื่อปลายปี 2558 ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่ากากระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ได้จัดทำโครงการเด็กไทยสายตาดี ร่วมกับกระทรวงศึกษาฯ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย โครงการปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และ HITAP โดยได้วางแผนคัดกรองสายตาเด็กทั่วประเทศ ซึ่งพบว่า มีเด็กสายตาสั้น 200,000 คน ในช่วงปีนั้น จึงได้ริเริ่มโครงการแจกแว่นตาแก่เด็กตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2559 ซึ่งโครงการเริ่มโดยอบรมความรู้แก่ครูประจำชั้น แพทย์ พยาบาล รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป รพ.ชุมชน รพ.สต. ดำเนินการครั้งแรกโดยให้คุณครูตรวจวัดสายตาเด็ก ซึ่งเป็นครูอนามัยหรือครูประจำชั้น หลังจากนั้นได้ทำการส่งต่อไปยัง รพ.ในพื้นที่เพื่อให้จักษุแพทย์ตรวจพร้อมให้แว่นฟรี หลังจากนั้นในปีถัดๆ มา โครงการมีความติดขัดในเรื่องข้อจำกัดในการรับแว่น ทำให้ความสำคัญของโครงการลดน้อยลงไป
จนกระทั่งปี 2564 นายแพทย์สุวรรณาชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ท่านได้เห็นถึงว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี จึงได้ประชุมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมถึงราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อจะได้ทำโครงการนี้ให้ได้อย่างยั่งยืน โดยตรวจคัดกรองวัดสายตาแก่เด็กทุกปี วางแผนกำหนดวันเด็กไทยสายตาดีขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญ
ปัจจุบันในปี 2565 เครือข่ายความร่วมมือของโครงการแน่นหนาขึ้น รพ.สต. รพช. จะเข้าไปตรวจคัดกรองสายตาเด็ก หากพบความผิดปกติจะส่งพบจักษุแพทย์ในพื้นที่ และสามารถเบิกแว่นได้กับโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้เลย เช่น รพ.จังหวัดทุกแห่ง ส่วนรพ.ใน กทม. ต้องรออัปเดตว่ามีรพ.ใดเข้าร่วมบ้าง (รอประกาศในเว็บไซต์ราชวิทยาลัย) รวมถึงรพ.บ้านแพ้ว และรพ.เมตตาประชารักษ์
เป้าหมายของโครงการในปี 2565
1.เด็กชั้น ป.1 ทุกคนจำนวนทั้งสิ้น 750,000 คน ได้รับการคัดกรอง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 คือคิดเป็น600,000 คน (คาดว่าจะพบสายตาผิดปกติได้ร้อยละ 3ของทั้งหมด) และได้รับการตรวจวินิจฉัยได้ร้อยละ 60 ใน 5 ปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10,000 คน
2.อบรมครู บุคลากรสาธารณสุข ให้มีความรู้และความเข้าใจในโครงการ สามารถช่วยตรวจคัดกรองเบื้องต้นได้
3.วางแผนจัดสัปดาห์รณรงค์เด็กไทยสายตาดี เข้า ครม.วาระแห่งชาติ
4.แว่นสายตา เข้าอยู่ในสิทธิประโยชน์ของ สปสช. ในระยะยาว
5.การวัดตรวจคัดกรองสายตาในเด็กได้เข้าอยู่ในพระราชบัญญัติ เพื่อความยั่งยืนของโครงการในระยะยาว ขณะนี้ สปสช. กำลังดำเนินการทบทวนสิทธิประโยชน์ต่างๆ อยู่ โปรดติดตามประกาศใช้ในฉบับที่ 11 ในเร็วๆ นี้
การมีแว่นดีอย่างไร ถ้าพลาดไม่ได้วัดสายตาจะเกิดปัญหาอะไรตามมาหรือไม่ การคัดกรองสุขภาพตาเด็กมีความสำคัญอย่างไร
20 ปีก่อนได้ทำการสำรวจโรงเรียนประถม6 จังหวัด ทั่วประเทศ พบว่ามีเด็กไทยสายตาผิดปกติประมาณ 5-6% ตอนนี้จากการสำรวจขึ้นไปถึง 20% และคาดการณ์ว่าปี 2550 ประชากรโลกจะใส่แว่นถึง 50% ตอนทำการสำรวจนั้นยังไม่นับรวมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่มีการใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นและอยู่ในที่แคบไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกทำให้สายตาสั้นเยอะและเร็วขึ้นได้อีก ดังนั้นหากนับรวมโควิด-19 เข้าไปด้วยนั้น สถานการณ์ความรุนแรงของภาวะสายตาผิดปกติน่าจะรุนแรงเป็นเท่าตัวในปีถึงสองปีข้างหน้าได้
ปัญหาที่ตามมาหากพลาดไม่ทราบว่าเด็กนั้นมีปัญหาด้านสายตา
l เรียนหนังสือได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ และอาจเรียนตามเพื่อนไม่ทัน เนื่องจากสายตาสั้นมองเห็นกระดานเรียนได้ไม่ชัด
l ทำให้เกิดภาวะตาขี้เกียจตามมาได้
ขยายความ : เด็กอายุน้อยกว่า 10-12 ปี ที่มีสายตาผิดปกติแล้วไม่ได้ใส่แว่น จะส่งผลให้สมองไม่เกิดการเรียนรู้ที่จะเห็นภาพอย่างชัดเจน ทำให้สมองเกี่ยวกับการมองเห็นพัฒนาได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นหากไม่ได้แก้สายตาผิดปกตินี้ตั้งแต่อายุก่อน 12-15 ปี จะทำให้เกิดภาวะตาขี้เกียจไปตลอดชีวิตได้แม้จะแก้สายตาผิดปกติได้ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถแก้ภาวะสายตาขี้เกียจได้ทัน
สรุปข้อคิดและข้อควรตระหนักรู้
ความผิดปกติของสายตาในเด็กไม่เพียงแค่สวมแว่นให้ชัดเพียงเท่านั้น เพราะพัฒนาการในการมองเห็นของเด็กจะส่งผลต่อการพัฒนาของสมองส่งผลต่อการเรียนรู้และอนาคตของเด็กไทย
โรคตาขี้เกียจ ถ้าช้าจะรักษาไม่ได้ ดังนั้นควรสังเกตพฤติกรรมการมองเห็นของลูก หากพบความผิดปกติ ปรึกษาจักษุแพทย์
โครงการนี้อาศัยสหวิชาชีพร่วมกันทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งภาคประชาชนด้วย ดังนั้นขอความร่วมมือทุกท่านช่วยกันต่อยอด ประชาสัมพันธ์โครงการ และตระหนักรู้ถึงปัญหา
ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี