โดยทั่วไปภาวะสูญเสียการได้ยินมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุเป็นลำดับแรก แต่ในปัจจุบันพบอุบัติการณ์ได้ 1 ใน 2 รายของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน (ช่วงอายุ 12-35 ปี) มากกว่า 1 พันล้านคน มีความเสี่ยงที่จะประสบภาวะการได้ยินบกพร่องจากพฤติกรรมการฟังเสียงที่ไม่ปลอดภัย ด้วยอัตราการเติบโตของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้มีการสื่อสารและรับข้อมูลผ่านระบบออน์ไลน์โดยใช้อุปกรณ์หูฟังมากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมการสัมผัสเสียงดังจากกิจกรรมนันทนาการและสถานบันเทิง เช่น การดูหนัง ฟังเพลง เชียร์กีฬา ร่วมคลาสออกกำลังกาย ยังไม่นับรวมความเสี่ยงจากการสัมผัสเสียงดังในสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและหลายครั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เสียงดังจากบริเวณสถานที่ทำงาน หรือ เสียงรบกวนจากการคมนาคม เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิดภาวะการได้ยินบกพร่อง
ภัยเงียบจากการสัมผัสเสียงดังที่มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและใช้ระยะเวลาในการถดถอยของประสาทหู ในช่วงแรกประสาทหูจะถูกทำลาย ณ จุดที่รับความถี่เสียงสูง จากนั้นจะค่อยๆ เสื่อมถอยไปยังจุดรับความถี่กลางและต่ำ ตามลำดับ ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่ใช้สื่อสาร ส่งผลให้การฟังมีความผิดเพี้ยนและมีความยากลำบากในการฟังเข้าใจความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมา มีการสวมใส่หน้ากาก และเว้นระยะห่างทำให้ผู้ที่มีภาวะการได้ยินบกพร่อง ประสบความยากลำบากมากขึ้นจากการฟังที่ไม่ชัดเจนและไม่สามารถใช้การฟังร่วมกับการอ่านปากร่วมได้ ภาวะสูญเสียการได้ยินไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการสื่อสาร แต่ยังส่งผลต่อระดับคุณภาพชีวิตทั้งมิติทางสังคมและจิตใจรวมถึงความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัย การได้ยินเสียงที่ลดลงทำให้คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไม่ได้ยินเสียงจากสิ่งแวดล้อมและเสียงเตือนต่างๆ
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้คาดการณ์ว่าภายในปี 2593 จะมีประชากรของโลกจำนวน 2.5 พันล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรทั่วโลกทั้งหมด ประสบปัญหาหูตึงระดับต่างๆ ไปจนถึงหูหนวก และมีจำนวนประมาณ 700 ล้านคนที่ต้องเข้ารับการรักษาและฟื้นฟู เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินอย่างรุนแรง เราควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดังอย่างต่อเนื่อง และดูแลการได้ยินที่ดีให้อยู่กับเราไปให้นานที่สุด“To hear for life, listen with care”
วิธีการป้องกันภาวะสูญเสียการได้ยิน
l จำกัดระยะเวลาที่สัมผัสเสียงดัง ใน 1 สัปดาห์เราไม่ควรสัมผัสเสียงดัง 80dB เป็นระยะเวลามากกว่า 40 ชั่วโมง
l ปรับลดเสียงไม่เกิน 60% ของระดับความดังสูงสุด หรือ ต่ำกว่า 80dB หรือเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีระบบตัดเสียงรบกวน
l หลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดังโดยใช้อุปกรณ์ป้องกันที่มีคุณสมบัติลดทอนเสียง เช่น ที่ครอบหู หรือ ที่อุดหู (Ear plug)
l ควบคุมระดับความดังของเสียงและระยะเวลาที่สัมผัสเสียงผ่าน application ในโทรศัพท์มือถือ
ดร.รมิดา ดินดำรงกุล
สาขาวิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงลานครินทร์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี