หลายท่านที่เลี้ยงแมว คงเคยประสบปัญหาเจ้าเหมียวไม่ถ่ายอุจจาระ เบ่งอุจจาระ แต่อุจจาระแข็ง รวมถึงการมีปัญหาท้องผูก ซึ่งมั่นใจว่า เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความหนักใจแก่ผู้เลี้ยงเป็นอย่างมาก ท้องผูกมีอาการ สาเหตุ วิธีการตรวจวินิจฉัย รวมถึงการรักษาอย่างไร
วันนี้ผมมีข้อมูลจาก สพ.ญ.กิตติยา ซิ้มไพศาล สัตวแพทย์ประจำแผนกเวชศาสตร์ฉุกเฉินและหออภิบาลสัตว์ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬาฯ มาฝากครับ
อาการท้องผูกเป็นอย่างไร
เมื่อน้องแมวของเราเกิดอาการท้องผูกขึ้น เราสามารถสังเกตได้จากอาการเหล่านี้
- ปริมาณอุจจาระในกระบะทรายลดลง หรือ ไม่พบเลย
- มีอาการปวดเบ่งหรือแสดงอาการเจ็บปวดขณะขับถ่าย
- อุจจาระมีลักษณะแห้ง แข็ง บางครั้งมีมูก หรือ ของเหลวสีน้ำตาลปนออกมา
เนื่องจากเกิดความระคายเคืองขึ้นที่ลำไส้ใหญ่
- เบื่ออาหาร ซึม อาเจียน น้ำหนักตัวลดลง
สาเหตุของภาวะท้องผูก
ท้องผูกมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่
1.พฤติกรรมการกิน
มักเกิดในแมวที่มีนิสัยกินน้ำน้อย และชอบกินวัตถุแปลกปลอม เช่น เลียกินขนตัวเอง ซึ่งพฤติกรรมนี้ทำให้เกิดปัญหา “ก้อนขน“ (hairball) อุดตันในทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดปัญหาท้องผูกในแมว มักพบมากในแมวพันธุ์ขนยาว หรือแมวที่มีนิสัยชอบการเลียขนเพื่อแต่งตัวมากกว่าปกติ (Over grooming)
การทำความสะอาดตัวเองในสัตว์หรือ Grooming เป็น พฤติกรรมที่พบได้เป็นปกติสำหรับแมว โดยที่แมวมักจะใช้การเลียขนเพื่อแต่งตัวและขจัดสิ่งสกปรกที่ขนและผิวหนัง แต่ถ้าแมวแสดงพฤติกรรมนี้มากกว่าระดับปกติ จะเกิดเป็นภาวะเลียแต่งตัวมากกว่าปกติ หรือ Over grooming ซึ่งมักเกิดจากปัญหาทางพฤติกรรม และปัญหาทางจิต เช่น เกิดความเครียด ความเหงา เป็นต้น
การเกิดปัญหาท้องผูกแบบชั่วคราวที่ไม่รุนแรง (constipation) นั้น หากเกิดขึ้นบ่อยและปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้พัฒนาจนเกิดอาการท้องผูกแบบถาวรและมีการสูญเสียการทำงานที่ปกติของลำไส้และระบบประสาทไป (obstipation) ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการท้องผูกถาวรเรื้อรังที่พัฒนาจนเกิดเป็นภาวะลำไส้ใหญ่โป่งพอง (megacolon) ได้
2.สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมที่พูดถึงนั้น มักเกี่ยวข้องกับห้องน้ำของน้องแมว นั่นคือ “กระบะทราย” นั่นเอง ปัญหาที่พบเกี่ยวกับกระบะทรายก็คือ จัดเตรียมกระบะทรายไม่เพียงพอ
สำหรับแมวในบ้าน (โดยปกติแล้ว ควรจะมีจำนวนกระบะทรายเท่ากับจำนวนแมว บวกเพิ่มไปอีก 1 หรือ 2 กระบะ) กระบะทรายไม่สะอาด (ทำให้แมวไม่อยากใช้บริการ) หรือตำแหน่งที่วางกระบะทรายไม่เหมาะสม ทำให้น้องแมวไม่มีความเป็นส่วนตัวระหว่างเข้าห้องน้ำ สิ่งเหล่านี้ทำให้น้องแมวอั้นอุจจาระ และเกิดภาวะท้องผูกตามมาได้
3.โรคหรือกลุ่มอาการผิดปกติอื่นๆ
3.1 ความผิดปกติที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดบริเวณก้น เช่น เป็นแผล ฝี ต่อมข้างก้นอักเสบ รวมถึงการเกิดเนื้องอก เป็นต้น
3.2 ความผิดปกติที่ทำให้ทางออกของอุจจาระตีบแคบลง เช่น กระดูกเชิงกรานหักหรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดตันลำไส้ เนื้องอก เป็นต้น
3.3 เป็นอัมพาตครึ่งล่างหรือช่วงท้ายของลำตัว
3.4 ภาวะลำไส้ใหญ่โป่งพองโดยไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic megacolon)
3.5 ภาวะแห้งน้ำ (Dehydration) น้องแมวอาจมีพฤติกรรมกินน้ำน้อย ทำให้เกิดภาวะแห้งน้ำได้ง่าย
3.6 มีค่าอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ เช่นโพแทสเซียมในกระแสเลือดต่ำ ทำให้การเคลื่อนตัวของทางเดินอาหารลดลง
3.7 โรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น ภาวะโรคไต ที่ทำให้เกิดการขาดน้ำได้ง่าย เป็นต้น
3.8 ปัญหาระบบประสาทกล้ามเนื้อผิดปกติ (neuromuscular dysfunction)
การวินิจฉัยโรคเพื่อหาสาเหตุหลัก
1.การซักประวัติ
คุณหมอจะถามเจ้าของถึงเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับน้องแมว เช่น
- น้องแมวมีอาการอะไรที่ผิดปกติขณะปัจจุบัน และประวัติเดิมเคยได้รับอุบัติเหตุหรือไม่
- พฤติกรรมการกิน ได้แก่ ลักษณะอาหารที่กินเป็นชนิดเปียกหรือแห้ง กินน้ำบ่อยไหม กินยาตัวไหนประจำอยู่บ้าง
- ที่บ้านมีแมวทั้งหมดกี่ตัว มีจำนวนกระบะทรายเท่าไหร่ (เพียงพอหรือไม่) เจ้าของเปลี่ยนทรายกี่วันครั้ง หรือมีการทำความสะอาดกระบะทรายอย่างไร
2.การตรวจร่างกาย
สัตวแพทย์จะทำการตรวจร่างกายสัตว์ดังนี้
- ประเมินสภาวะแห้งน้ำ (dehydration)
- การคลำตรวจช่องท้องและกระดูกกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายตั้งแต่ช่วงกระดูกสันหลังช่วงเอวเป็นต้นมา
- ทดสอบการทำงานระบบประสาทเบื้องต้น
- ล้วงตรวจภายในช่องทวารหนัก เพื่อดูต่อมข้างก้น ขนาดเชิงกราน เป็นต้น
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
นอกจากการซักประวัติและการตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้ว ยังอาจใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกัน เพื่อช่วยทำให้การวินิจฉัยได้แม่นยำขึ้นได้แก่
- รังสีวินิจฉัย (X-ray) เพื่อดูปริมาณอุจจาระที่คาอยู่ในลำไส้ของสัตว์ เป็นการประเมินความรุนแรง และระยะเวลาการรักษาในเบื้องต้นได้ รวมถึงหาสาเหตุความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง และเชิงกราน
- ตรวจเลือด เพื่อดูสภาพสัตว์ และตรวจหาโรคอื่นที่โน้มนำภาวะท้องผูก
หลักในการรักษาโรคท้องผูก
- การสวนและการล้วงทางทวารหนัก เพื่อระบายอุจจาระเก่าที่ค้างอยู่ในลำไส้ออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณอุจจาระในลำไส้ และทำให้ลำไส้มีการบีบตัวได้มากขึ้น
- ลดภาวะขาดน้ำโดยปรับอาหารให้มีส่วนประกอบของน้ำมากขึ้น หากเป็นมากสัตวแพทย์จำเป็นต้องให้น้ำเกลือใต้หนัง หรือเข้ากระแสเลือดโดยตรง
- ให้ยาคุมการติดเชื้อ ยากระตุ้นการเคลื่อนตัวลำไส้ ยาระบาย
- ในกรณีบางเคสที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทางยา และการจัดการ อาจมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อนำอุจจาระออก ร่วมกับการพิจารณาตัดลำไส้ใหญ่ออกบางส่วนหรือเกือบทั้งหมดแต่ยังเหลือหูรูดไว้(subtotal colectomy)
สุดท้ายแล้ว การรักษาภาวะท้องผูกในแมวนั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากสัตวแพทย์และจากเจ้าของ โดยเฉพาะการดูแลเอาใจใส่ของเจ้าของในระยะยาว เพราะเมื่อน้องแมวมีอาการดีขึ้นแล้วนั้น หน้าที่หลักก็จะเป็นของเจ้าของเอง เพื่อลดโอกาสการกลับมาเกิดซ้ำได้ของปัญหานี้ครับ
หมอโอห์ม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ และฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี