โรคไขมันพอกตับ ถือเป็นโรคที่มีความสำคัญ และใกล้ตัวมาก เพราะพบได้บ่อย และมีแนวโน้มจะพบมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวิถีชีวิตปัจจุบันที่มีแนวโน้มจะออกกำลังลดลง และทานอาหารประเภทที่ก่อให้เกิดความอ้วนมากขึ้นโดยมีงานวิจัยประมาณการว่าในปัจจุบันมีคนไทยเป็นโรคนี้มากกว่า 10 ล้านคน โดยในระยะแรก ผู้มีไขมันพอกตับมักไม่มีอาการ บางรายอาจมีอาการจุกแน่นชายโครงด้านขวา การตรวจเลือดอาจพบหรือไม่พบการอักเสบของตับก็ได้ และเมื่อระยะเวลาผ่านไป การดำเนินโรคอาจรุนแรงขึ้น เกิดการอักเสบอย่างเรื้อรังของเซลล์ตับ ทำให้เซลล์ตับเสียหาย ตับทำงานได้น้อยลง เกิดพังผืดมาแทน จนเป็นโรคตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับตามมาได้
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคไขมันพอกตับ คือ ความอ้วนหรือลงพุง และโรคทางเมตาบอลิกต่างๆ เช่น เบาหวานไขมันในเลือดผิดปกติ และความดันโลหิตสูง ซึ่งภาวะเหล่านี้มักจะมีความผิดปกติของระบบเผาผลาญของร่างกายร่วมด้วย และจะทำให้พลังงานส่วนเกินของร่างกาย ไม่ว่าจะในรูปแบบของไขมัน แป้ง หรือน้ำตาล เปลี่ยนแปลงเป็นไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ขนาดเล็ก และมาสะสมของไขมันในเซลล์ตับได้ ซึ่งในผู้ป่วยบางรายก็จะเกิดตับอักเสบเรื้อรังตามมา การวินิจฉัยโรคไขมันพอกตับโดยทั่วไป สามารถทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวด์ตับ กรณีที่มีไขมันพอกจะพบว่าตับมีสีขาวมากขึ้นกว่าปกติ
นอกจากการตรวจอัลตราซาวด์แล้ว เราอาจสามารถวัดปริมาณไขมันในตับได้โดยเครื่องไฟโบรสแกน หรือเครื่องเอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้าได้อีกด้วย ซึ่งวิธีเหล่านี้สามารถทำได้อย่างปลอดภัย ไม่เจ็บปวด และจะบอกปริมาณของไขมันในตับได้ละเอียดขึ้นเป็นตัวเลขที่ชัดเจน และยังสามารถวัดความยืดหยุ่น หรือปริมาณพังพืดในตับได้อีกด้วยตัวอย่างเช่นการวัดค่า การตรวจวัดปริมาณพังพืดจากไฟโบรสแกนได้มากกว่า 8 kPa คือเริ่มมีพังผืดในตับแล้ว หรือมากกว่า 12 kPa คืออาจเริ่มมีตับแข็งแล้ว เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง และติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันยังไม่มียาในการรักษาโรคไขมันพอกตับให้หายขาด การรักษาที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยลดไขมัน และลดการอักเสบในตับคือการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะในผู้ที่มี
น้ำหนักเกินหรืออ้วน โดยแนะนำลดน้ำหนักลงอย่างน้อยร้อยละ 7-10 จากน้ำหนักเดิม หรือทำให้ดัชนีมวลกาย (BMI) ลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติน้อยกว่า 25 โดยการ
ลดอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์) โดยหลักการควบคุมอาหาร คือ ควรลดการทานอาหารมันและแป้งให้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงอาหารทอดหรือผัด (พยายามทำอาหารโดยการต้ม ลวก หรือนึ่ง) หลีกเลี่ยงการทานอาหารผลไม้และเครื่องดื่มรสหวาน เช่น น้ำอัดลม ชาหรือกาแฟเย็น(ที่เติมน้ำตาลหรือนม) หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ทานอาหารช่วงดึก โดยคนอายุน้อยอาจใช้วิธี intermittentfasting (IF) 16/8 เพื่อช่วยลดน้ำหนักในช่วงแรกก็ได้ ทั้งนี้การลดน้ำหนักนอกจากจะช่วยให้ตับดีขึ้นแล้ว ยังจะช่วยทำให้โรคทางเมตาบอลิกอื่นๆ ที่พบร่วมดีขึ้นด้วย เช่น การควบคุมระดับน้ำตาล ระดับไขมัน และความดันโลหิต
ยาที่มีผลการวิจัยพบว่าสามารถลดการสะสมของไขมันและการอักเสบของตับ ได้แก่ วิตามินอี ซึ่งออกฤทธิ์ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ และยารักษาโรคเบาหวาน ได้แก่ ไพโอกลิทาโซน และ เซมากลูไทด์ อย่างไรก็ตาม ยารักษาโรคไขมันพอกตับ มีทั้งประโยชน์และโทษ ควรเลือกใช้เฉพาะรายที่เหมาะสมภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ ทั้งนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันจากงานวิจัยคุณภาพสูงในมนุษย์ว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอื่นๆ จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคไขมันพอกตับ
รศ.(พิเศษ) นพ.เฉลิมรัฐ บัญชรเทวกุล
หน่วยโรคทางเดินอาหารและตับ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี