เมื่อวานนี้ครบรอบเหตุการณ์ วิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ของประเทศไทย 20 ปี เมื่อ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นเรื่องร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
สำหรับคอลัมน์วันเสาร์ที่ผ่านมาได้ถ่ายทอดเรื่องราวย้อนอดีตเพื่อมองสู่อนาคตกับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณ์ จาติกวณิช กันไปแล้ว (ลิงค์บทความ “เมื่อกรณ์บอกว่า.. สิ่งที่น่าห่วงกว่าวิกฤติเศรษฐกิจคือ ความเสี่ยงที่ไทยจะแข่งขันไม่ได้ จนเศรษฐกิจไม่โต !
“http://www.naewna.com/politic/columnist/30360 )
คุณกรณ์ได้แสดงความกังวลเอาไว้ว่า ในช่วงเวลานี้มีสิ่งที่น่ากังวลมากยิ่งกว่าการเกิดวิกฤติการเงินแบบเมื่อ 20 ปีก่อน นั่นคือ การที่เศรษฐกิจไทยจะไม่โตอันเนื่องมาจากการขาดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของไทย อันเนื่องมาจากรากปัญหาหลัก 3 เรื่องคือ 1.ความสามารถแรงงาน อันเนื่องมาจากปัญหาการศึกษา 2.ปัญหาระบบราชการ และ 3.สังคมผู้สูงอายุ
วันนี้เราย้อนไปดูกันกับคุณบรรยง พงษ์พานิช อีกครั้งครับว่า..เราเรียนรู้อะไรกันมาบ้างจากวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540
____________________________________
ในวันนี้เมื่อยี่สิบปีก่อน....2 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเรียกประชุมนายธนาคารทุกแห่งในเวลาเช้าตรู่ 07.00 น. แล้วประกาศว่า ประเทศไทยจะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบลอยตัว ให้เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งหมายความว่า ธปท.จะไม่เป็นผู้กำหนดและจะไม่แทรกแซงขนาดหนักอย่างที่เคยทำมา (ซึ่งทุกคนก็รู้โดยทันทีเลยว่า ธปท.สารภาพว่าเงินทุนสำรองหมดเก๊ะแล้ว ไม่มีเค้าจะแทรกแซงได้อีก)
...และนั่นก็เท่ากับการประกาศจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของ“วิกฤติเศรษฐกิจ”ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ประเทศไทยเคยมี ที่เราเรียกกันว่า“วิกฤติต้มยำกุ้ง” ซึ่งในที่สุดก็ลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาค มี Kimchi Crisis ของเกาหลี Abodo Crisis ของฟิลิปปินส์ Gado Gado Crisis ของอินโดนีเซีย และ Nasi Lemak Crisis ของมาเลเซีย ทยอยตามมาติดๆ
ผมว่าการที่ใช้อาหารประจำชาติมาตั้งฉายาให้วิกฤติเศรษฐกิจที่ลุกลามในครั้งนั้นเป็นเรื่องที่เหมาะมากทีเดียว เพราะการลุกลามนั้นไม่ใช่เป็นการติดเชื้อโรคเท่านั้น
แต่เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นมันเป็นเพราะต่างก็กินอาหารแสลงเหมือนๆ กัน นั่นก็คือการลงทุนที่ผิดพลาด(ลงในสิ่งที่มี
ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า) และใช้แหล่งเงินทุนที่ผิดพลาด(เอาเงินกู้ระยะสั้นสกุลต่างประเทศมาลงทุนระยะยาว)
สาเหตุ ความเป็นไป วิธีการแก้ปัญหา รวมทั้งเหตุการณ์ต่อเนื่องจากวิกฤติครั้งนั้น คุณบรรยงได้เคยเขียนบรรยายรายละเอียดไว้แล้วในบทความยาว 8 ตอน ที่เขียนเมื่อ 2 ก.ค. 2556-18 ก.ค. 2556 ใครสนใจไปหาอ่านได้ใน ThaiPublica นะครับ
....วันนี้จะพูดถึงบทเรียนที่ได้ กับผลจากการแก้ปัญหา และอุทาหรณ์อื่นๆ
การแก้ปัญหาวิกฤติครั้งนั้นของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน ไทย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ต่างก็ขอเข้ารับความช่วยเหลือจาก IMF ขอเงินกู้ ($ 17, $42 และ $58 พันล้าน ตามลำดับ) โดยยอมตัวเข้าผูกพันตามโครงการปฏิรูปภายใต้บันทึกข้อตกลง(LOI) ขณะที่ฟิลิปปินส์มีปัญหาไม่มากนัก เงินสำรองมีมากและดุลการค้าก็ได้เปรียบ ถึงแม้ค่าเงินจะลดลงมาก แต่เศรษฐกิจก็ถดถอยเพียงเล็กน้อย(ต่ำกว่า 5% ขณะที่ประเทศอื่นๆ มากกว่า 10%) ฟิลิปปินส์จึงใช้แค่ Technical Assistance คำปรึกษาจาก IMF โดยไม่ต้องขอกู้ ...ส่วนมาเลเซียของนายกฯ มหาเธร์นั้นไปอีกแนว ประกาศไม่เอา IMF แถมด่ารายวัน แล้วก็มีการควบคุมการไหลเข้าออกของทุน (Capital Control) แถมกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนตายตัว (Fixed Exchange Rate) กึ่งๆ ปิดประเทศบางส่วน อาศัยว่ามีเงินทุนสำรองค่อนข้างมาก กับราคาน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักอันหนึ่งปรับตัว
ดีขึ้น ก็เลยรอดตัวพัฒนามาได้
คุณบรรยงได้สรุปตอนท้ายไว้ว่า..
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี