“ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เอาเป็นปี 2568 จากสถิติมีอยู่ประมาณ 360,000 กว่าคน แล้วก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ในอีก 15 ปีข้างหน้า หรือปี 2583 จะเพิ่มขึ้นเกือบล้าน คือ 8.8 แสนคน หรือประมาณ 2 เท่าครึ่งของ ณ ปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้ถามว่าคนที่มาดูแลผู้สูงอายุ ณ ปัจจุบันมีกี่คน? คนที่ได้รับการรับรองให้ทำงานในเรื่องของการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ณ ปัจจุบันมีอยู่แค่ 14,349 คน”
อรนันท์ อุดมภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบทเทอร์เฮลท์แคร์ โซลูชั่นส์ จำกัด กล่าวในการบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “การสร้างเส้นทางสู่การเพิ่ม ผู้ดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยคำนึงถึงแรงงานต่างชาติ เป็น ผู้ดูแล ความท้าทายในการฝึกอบรม การรับรองอาชีพ ความต้องการ ใบอนุญาตทำงาน ประเภทกึ่งทักษะ semi-skilled” จัดโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ยกข้อมูลจาก กรมอนามัย และ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ฉายภาพจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่จำนวน “ผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver)” ที่ได้รับรองตามกฎหมายยังมีอยู่น้อยมาก
ที่มาที่ไปของการขาดแคลนแรงงานดูแลผู้สูงอายุ 1.การฝึกอบรม หากเป็นการจัดทำโดยภาครัฐน่าจะยังไม่เพียงพอ ในขณะที่การฝึกอบรมโดยภาคเอกชนซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย ก็คาดหวังว่าอยากทำงานในโรงพยาบาลเพราะมองว่ามีรายได้ดีกว่าและเส้นทางการเติบโตในอาชีพที่ชัดเจนกว่า 2.การอยู่ในงานไม่ได้นาน หลายคนทำอยู่สักพักก็เปลี่ยนไปทำงานอื่น ซึ่งเข้าใจได้เพราะงานดูแลผู้สูงอายุเป็นงานเหนื่อยยากลำบาก อีกทั้งยังส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพของผู้ดูแลด้วย เช่น การต้องคอยยกผู้สูงอายุ ต้องอดหลับอดนอน เป็นต้น
3.รายได้ครัวเรือนไม่พอจ่ายค่าคอบแทนผู้ดูแลได้อย่างที่ควรจะเป็น กระทรวงแรงงานกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของวิชาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุไว้ที่ 500 บาทต่อการทำงาน 8 ชั่วโมง หรือหากไปอยู่ตามบ้าน ดูแลทั้งวันตลอด 24 ชั่วโมง คือ 1,500 บาท คิดเป็นรายเดือนคือ 45,000 บาท ในขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนไทยไม่ถึง 3 หมื่นบาทต่อเดือน ทำให้มีครัวเรือนไม่มากนักที่สามารถจ่ายได้ ดังนั้นภาครัฐน่าจะเข้ามาอุดหนุนค่าใช้จ่ายบางส่วน
ขณะที่แนวคิดเรื่องการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานดูแลผู้สูงอายุ เท่าที่มีข้อมูลคือมีชาวต่างชาติหลายคนเคยทำงานดูแลผู้สูงอายุมาก่อน หรือเคยเป็นพยาบาลเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่สามารถทำงานในไทยได้เพราะไม่มีวุฒิการศึกษาของไทย จึงอยากให้มี “ระบบเทียบโอนคุณวุฒิ” เทียบหลักสูตรที่จบมาจากประเทศต้นทางว่าเท่ากับที่เรียนในไทยได้หรือไม่ เช่น หากพยาบาลไทยไปทำงานในสหรัฐอเมริกา ก็จะมีการเทียบคุณวุฒิระหว่างมหาวิทยาลัยในไทยที่จบมากับมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ หากเทียบกันได้ก็ไม่ต้องไปเรียนหลักสูตรพยาบาลใหม่อีกครั้ง
หรือแม้เป็นหลักสูตรที่เรียนมายังไม่ได้รับการรับรองจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ก็น่าจะมีระบบการทดสอบโดยข้อสอบกลาง จะโดยกรมฯ ออกข้อสอบเอง หรือจากหน่วยงานอื่น เช่น สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ หรือกระทรวงแรงงาน หากผู้ใดผ่านการทดสอบก็สามารถทำงานดูแลผู้สูงอายุได้ และหากเป็นกรณีของชาวต่างชาติ ควรมีการทดสอบทักษะภาษาไทยในส่วนที่ต้องใช้ในงานดูแลผู้สูงอายุด้วย อย่างไรก็ตาม ในงานดูแลผู้สูงอายุคงต้องมีการอบรมเพิ่มเติมกับชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำงาน เพราะมีในเรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ
ด้าน รัชนี บุญเรืองศรี รองผู้อำนวยการสำนักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย กล่าวว่า หากเป็นการฝึกอบรมที่ภาครัฐลงทุน คนที่เข้ารับการอมรมก็จะมีโควตาตามที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งมีข้อสังเกตว่าแม้ตอนอบรมจะมากับครบตามโควตา แต่เมื่อออกไปทำงานจริงจะมีประเด็นทั้งครอบครัวของผู้สูงอายุ ชุมชน หรือแม้แต่คนที่เป็นจิตอาสาก็จะมีประเด็นค่าตอบแทนด้วย โดยในส่วนของภาครัฐจะเรียกว่าค่าสนับสนุนการปฏิบัติงาน ก็มีปัญหาเหลื่อมล้ำอยู่
“สมมติถ้าไปดูในลักษณะของต่ำกว่า 4 คน เขาจะได้ 600 บาทต่อเดือน เขามาอบรม 1 อาทิตย์ แต่เขาไปปฏิบัติงานได้ 600 บาท 4 คน แต่ถ้าสมมติว่า 4 คนนี้ถูกมอบหมายให้ไปดูแลกลุ่มที่เป็นพึ่งพิงทั้งหมดเลย ติดบ้านทั้งหมด ADL (Activities of Daily Living - ตัวชี้วัดกิจกรรมพื้นฐานในการช่วยเหลือตนเอง) น้อยกว่า 4 แน่นอนมันก็เกิดประเด็นคือภาระงานที่หนักขึ้น ดังนั้นโอกาสที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนของการดูแลผู้สูงอายุก็จะลดลง” รัชนี กล่าว
ส่วนแนวคิดเรื่องการเปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานด้านนี้ รัชนี มองว่า ก็คงไม่ช่วยให้เกิดความยั่งยืนเช่นกัน เพราะยิ่งเป็นผู้ว่าจ้างที่มีกำลังจ่ายสูง ภาระงานที่มอบหมายให้ก็ย่อมมากตามไปด้วย ซึ่งอาจรวมถึงหน้าที่อื่นๆ เช่น การเป็นแม่บ้าน ตลอดจนการต้องปรับตัวเข้ากับนายจ้างหรือญาติผู้สูงอายุ คำถามคือสภาพการจ้างงานจะยังคงอยู่หรือไม่ “เพราะการทำงานกับคนไม่เหมือนกับเครื่องจักร” จึงมีปัจจัยมากมายที่ท้าทายความยั่งยืนของการทำงาน
อนึ่ง มีตัวอย่างการลงพื้นที่ใน จ.กระบี่ มีเสียงสะท้อนด้วยว่า “เทคโนโลยีมีผลต่อการปฏิบัติงานของผู้ดูแลผู้สูงอายุ” กล่าวคือ ผู้ดูแลเองก็ชอบใช้สื่อสังคมออนไลน์ขณะทำงานไปด้วย พอถูกญาติผู้สูงอายุจับได้ก็ให้พ้นจากการจ้างงานไป ข้อค้นพบเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องนำมาคิดหากในอนาคตจะวางกรอบการเปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาทำงานดูแลผู้สูงอายุ หรือกรณี จ.ลำปาง มีหลักสูตรอบรม Caregiver ในครอบครัว ก็ไปพบปัญหาสุขภาพของผู้ดูแล ดังนั้นสิ่งที่พูดถึงกันภายในกระทรวงสาธารณสุข คือจะคุ้มครองสุขภาพของ Caregiver ได้อย่างไรบ้าง
“อีกประเด็นที่เราต้องดูก็คือเรื่องของการเตรียมความพร้อมอย่างไรให้เกิดการที่จะดูแลในเรื่องของความต่างวัฒนธรรม เพราะแต่ละประเทศเข้ามาแล้วเราก็มีวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่ง ที่มันจะทำให้ไม่เกิดความเครียดสำหรับผู้ดูแล ฉะนั้นเราต้องมีการประเมินเรื่องสุขภาพจิตด้วย เพราะทำไประยะหนึ่งเขาอาจเขาอาจเครียด แล้วอาจส่งผลต่อเรื่องภาวะการดูแลหรือการกระทำรุนแรงระหว่างผู้ดูแลกับผู้สูงอายุด้วย ทำอย่างไรจะมีการตรวจสอบสมรรถนะตรงนี้ด้วย” รัชนี กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี