ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหัวหน้าทีมนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ คุณกรณ์ จาติกวณิช หรือตำแหน่งทางการคือ คณะกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองตำแหน่งสุดท้ายของคุณกรณ์ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง
ภาระหน้าที่ย่อมตามมาด้วยความรับผิดชอบเพราะตลอดระยะเวลาที่หน้าการเมืองไทยเปลี่ยนไปตั้งแต่มีการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มาถึงวันนี้เป็นเวลา 3 ปีกว่า หัวหน้าทีมนโยบาย ก็ไม่ได้หยุดทำงานนโยบายแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามกลับยิ่งมีความเข้มข้นในการทำงานเพื่อเข้าใจ เข้าถึง ให้ได้มาซึ่งแนวทางในการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้านด้วยกัน อย่างล่าสุดได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้บรรยายในวิชา TU 101 หรือ มธ.101ซึ่งเป็นวิชาบังคับพื้นฐานของนักศึกษา รหัสวิชานี้มีความขลังเป็นอย่างมาก อาจารย์ประจำวิชาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนโน้น อาจารย์ผู้สอนวิชานี้คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี เทอมที่ผ่านมา อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้มาสอนวิชานี้เช่นเดียวกัน
วันนี้ผมได้ติดตามคุณกรณ์มาบรรยายในเนื้อหาวิชานี้ด้วยเช่นเดียวกัน ก็ได้เก็บตกเกร็ดความรู้มาเล่าให้คุณผู้อ่านได้ฟังกันครับ
คุณกรณ์ได้รวบรวมประเด็นที่ศึกษามาและจากประสบการณ์ทำงานด้านนโยบายเอาไว้ในการบรรยาย ไม่ว่าจะเป็นจากบทบาทประธานชมรมฟินเทคแห่งประเทศไทยที่คร่ำหวอดในกลุ่มสตาร์ทอัพ นักการเงินรุ่นใหม่ และเด็กๆสมัยใหม่ที่ใกล้ชิดกับนวัตกรรม และเทคโนโลยี
ไม่ว่าจะเป็นในฐานะประธาน โครงการเกษตรเข้มแข็งที่ช่วยเพิ่มมูลค่า เพิ่มความเป็นพรีเมียมให้แก่ข้าวไทย โดยปั้นแบรนด์ “ข้าวอิ่ม” เพิ่มรายได้ให้ชาวนาได้สองเท่า ปลดหนี้ และเสริมรายได้ให้ทั้งชุมชนจากหลักการทำเกษตรอินทรีย์และการใช้ผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นอย่างผ้าขาวม้าในการทำบรรจุภัณฑ์
ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของผู้ก่อตั้ง โครงการ English For All ช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กๆ ยากไร้ที่พิษณุโลก ให้ได้เข้ามาเรียนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้นเหมือนเด็กๆ ในกรุงเทพฯ และก็ได้ผลพิสูจน์ที่แท้จริงว่า เด็กไทยไม่ได้แตกต่างกัน แต่ยังมีโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน
คุณกรณ์สวมบทบาทเป็น “อาจารย์กรณ์” เริ่มบรรยายด้วยการเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็กเป็นนักเรียนที่สาธิตปทุมวันบ้านอยู่เขตยานนาวา สาทร คุณพ่อเป็นข้าราชการกระทรวงการคลังต่อมาได้ไปเรียนต่อโรงเรียนประจำที่อังกฤษ จนเข้ามหาวิทยาลัย จากนั้นก็มีการโชว์ภาพสมัยเรียนที่ Oxford ก็คือช่วงอายุเท่าน้องๆ คู่กับคุณอภิสิทธิ์ ยังหนุ่มกันมากทั้งคู่ (ตอนนี้ก็ยังหนุ่ม) อาจารย์กรณ์ได้เล่าว่าสมัยเป็นนักศึกษาชอบทำกิจกรรม ชอบเล่นกีฬามาก ในขณะที่คุณอภิสิทธิ์เรียนเก่งมากเป็นที่ 1 ของกลุ่มเด็กที่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 และสมัยนั้นก็ได้ช่วยคุณอภิสิทธิ์หาเสียงใน Oxford จนเป็นประธานนักเรียนต่างชาติคนแรกอีกด้วย
เมื่อเรียนจบก็ทำงานที่อังกฤษจนกระทั่งอายุ 23 ปีก็กลับมาทำงานที่ไทยโดยเปิดบริษัทการเงินหลักทรัพย์ของตัวเองชื่อเจเอฟธนาคม ต่อมาได้ขายให้กับ JP Morgan Chase และรับตำแหน่งประธานจนกระทั่งลาออกจากภาคธุรกิจอย่างจริงจังเพื่อมาทำตามสัญญาใจกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่อังกฤษและลงสู้สนามการเมืองตอนอายุ 40 ปี
และผลงานแรกทางการเมืองของคุณกรณ์ก็คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรม“ซุกหุ้น”
ต่อมาเมื่อเข้ามารับตำแหน่ง รมว.คลัง ก็เข้ามาช่วงที่โลกเพิ่งฟื้นจากวิกฤติน้ำมันแพงมากซึ่งเป็นวิกฤติที่มาชนกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่ลามมาจากสหรัฐอเมริกาจนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
ในฐานะรมว.คลังตอนนั้น คุณกรณ์เล่าให้นักศึกษาฟังว่าได้ดูบริบทแวดล้อมในช่วงเวลานั้นและสิ่งที่ไทยกำลังเผชิญอันได้แก่ ภาวะเลิกจ้างงานจะเพิ่มขึ้นมหาศาล คนเสี่ยงตกงานเดือนละหลักแสน การลงทุนหยุดชะงัก เพราะลูกค้ายุโรปและอเมริกาขาดกำลังซื้ออย่างหนัก
รัฐบาลขณะนั้น โดยรมว.คลังที่ชื่อกรณ์จึงออกมาตรการ“เช็คช่วยชาติ” เพื่อมาปั๊มหัวใจให้เศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้น คือเอาเช็คจ่ายให้คนรายได้น้อยที่พิสูจน์ได้จริงตามข้อมูลของประกันสังคมแก่คนที่รายได้ไม่เกิน 15,000 บาท คนรายได้น้อยกลุ่มนี้ก็เอาเช็คไปจับจ่ายใช้สอยในช่วงฝืดเคืองจนเกิดตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ เม็ดเงินสะพัดในระบบ
ตามด้วยชุดนโยบายชุดใหญ่เช่นประกันรายได้เกษตรกร ช่วยเกษตรกรที่เป็นแรงงานนอกระบบให้มีรายได้สูงขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรที่ไม่ได้สูงนัก และเงินส่วนต่างจากการประกันรายได้นี้ก็ไม่รั่วไหลเพราะโอนตรงไปยังบัญชีธ.ก.ส.ของเกษตรกร
และสุดท้ายคอมโบชุดใหญ่ คือ “โครงการไทยเข้มแข็ง”ที่เป็นการลงทุนขนาดเล็กและกลางทั่วประเทศทุกพื้นที่ทุกจังหวัดทุกกระทรวงอย่างที่ได้กล่าวไปครับคือ ผลตามหลักเศรษฐศาสตร์ก็มีตัว Multiplier เงินทวีในระบบถึงมือประชาชนจนทำให้ไทยพ้นวิกฤติได้รวดเร็วเป็นอันดับ 2 ของโลกเป็นรองเพียงแค่ไต้หวันประเทศเดียวกันนั้น
โดยสรุปคือเศรษฐกิจไทย ปี 2553 พลิกจากติดลบในปีก่อนกลับมาโต 7.8% ภาคการส่งออกที่ลงเหวก็พลิกมาโต 28.5% และตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขที่บ่งบอกได้ชัดเจนหลังจากที่ทุกโครงการที่รัฐบาลขณะนั้นทำได้เดินเครื่องเต็มที่จนทำให้คุณกรณ์ จาติกวณิช ได้รับรางวัล “รัฐมนตรีคลังโลก”
จากการสังเกตการณ์ของผม เด็กๆ ในห้องตื่นตาตื่นใจที่ได้ฟังประสบการณ์ตรงจากบุคคลที่ได้นำพาประเทศผ่านวิกฤติมาจริงๆ และที่สำคัญคือได้ฟังจากปากของเจ้าตัวเอง
อาจารย์กรณ์ก็บรรยายต่อไปว่า...พอเกิดวิกฤติทางการเมืองมากมายอย่างที่ทุกคนทราบกันดีเหตุชุลมุนวุ่นวายหลายอย่างบ้านเมืองลุกเป็นไฟ รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปี 2554 แต่ต่อมาแพ้เลืองตั้ง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตร เข้ามาบริหาร คุณกรณ์ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านทำงานหลายต่อหลายเรื่อง
จนกระทั่งมาถึงปี 2556 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ชะล่าใจออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งก็ต่อมาเป็นต้นเหตุให้นำพามาให้ถึงเหตุการณ์บ้านเมืองที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้
คุณผู้อ่านครับถึงตรงนี้ผมอยากจะขอบอกว่านี่ยังไม่ได้เข้าเนื้อหาสาระของการบรรยายเลยครับผมจึงขออนุญาตแบ่งบทความนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยากอธิบายละเอียดยาวหน่อยขอแบ่งออกเป็น 2 หรือ 3 ตอนก็แล้วกันครับ
สุดท้ายของตอนแรกนี้คือ ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาการบรรยายอาจารย์กรณ์ได้บอกน้องๆ ธรรมศาสตร์ว่า “ทุกวันนี้ที่หากมองตำแหน่งของอาชีพ ผมคือ “ตกงาน” แต่ถึงแม้ไม่มีตำแหน่งเราก็คิดว่า เราทำอะไรได้อีกหลายอย่าง และ 4 บทบาทของผมที่คิดว่า เอาความรู้ความสามารถมาช่วยคนได้ก็ได้แก่ ฟินเทค สตาร์ทอัพ ผมทำรีฟินช่วย “คนมีหนี้”-ทำข้าวอิ่มช่วย “ชาวนา” ทำ English For All ช่วยเด็กไร้โอกาส ยังคงทำงานในตำแหน่งสุดท้ายจากมติพรรคอยู่นั่นคือเป็นหัวหน้าทีมนโยบาย
-------------------
แล้วสัปดาห์หน้าเราจะมาต่อกัน ในเนื้อหาการบรรยายที่คุณกรณ์พาน้องๆ ธรรมศาสตร์ช่วยกันขบคิดหาทางออกให้กับประเทศไปในหลายต่อหลายเรื่องด้วยกันครับ
โปรดติดตามต่อเสาร์หน้าครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี