หลังจากที่เกิดข่าวอื้อฉาวสั่นสะเทือนจังหวัดภูเก็ตก่อนหน้านี้เมื่อนายธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิศรี ผู้ก่อตั้งเพจเฟซบุ๊ค “โจ้สปอตไลท์ภูเก็ต” ออกมาเปิดโปงและยื่นหนังสือร้องเรียนพร้อมหลักฐานเพื่อให้ตรวจสอบนายตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่จ.ภูเก็ต เรียกรับส่วยรีดไถผู้ประกอบการต่างๆ รวมทั้งแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอป่าตองมีการรีดส่วยคิดเป็นมูลค่าถึงเดือนละกว่า 100 ล้านบาท และยังคงออกมาเปิดโปงขบวนการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบของวงการสีกากีอย่างต่อเนื่องถึงกับอ้างว่าเก้าอี้ผู้กำกับในจ.ภูเก็ต มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ปรากฏว่าล่าสุดมีการออกหมายจับนายธรรมรัตน์ในข้อหาหมิ่นประมาทที่ จ.อุบลราชธานี จนนายธรรมรัตน์ต้องไปมอบตัว
ทั้งนี้ นายธรรมรัตน์ หรือ “โจ้สปอตไลท์ภูเก็ต” เปิดเผยว่า การถูกออกหมายจับครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่ปี 2559 แต่แปลกใจที่เพิ่งมาออกหมายจับโดยมีนายตำรวจยศ พ.ต.ต.นายหนึ่งแจ้งความหลังจากที่เมื่อเดือนก.ค.2559 นายธรรมรัตน์ ได้ทำคลิปตำหนิตำรวจสภ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต ที่ขอร่วมลงชื่อในการจับกุมโต๊ะพนันบอล ทั้งๆ ที่ผู้ที่เข้าจับกุมคือทหารและป้องกันจังหวัด และโต๊ะพนันบอลอยู่ห่างจากด่านตรวจแค่ 15 เมตร เรื่องนี้ชาวบ้านร้องเรียนมาหลายครั้งแต่ไม่มีการจับ แต่พอทหารและป้องกันจังหวัดมาจับฝ่ายตำรวจกลับขอลงชื่อจับกุมด้วย พอคลิปเผยแพร่โดยมีประชาชนเข้าดูเป็นล้านวิว ผู้กำกับสภ.ป่าตองจึงมอบหมายให้ พ.ต.ต.คนดังกล่าวซึ่งมีพื้นเพอยู่ที่จ.อุบลราชธานีไปแจ้งความดำเนินคดี นายธรรมรัตน์ ฐานหมิ่นประมาทเพื่อแก้เกี้ยว ทั้งๆ ที่ความจริงเรื่องนี้ พ.ต.ต.คนดังกล่าวเคยมาขอโทษตนและเรื่องจบไปแล้ว
กระทั่งหลังจากที่ นายธรรมรัตน์ ออกมาแฉเรื่องส่วยสีกากีในจ.ภูเก็ต ครั้งล่าสุด จนบานปลายเป็นเรื่องอื้อฉาวทั้งประเทศ ทำให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) สั่งการว่ามีคดีความอะไรเกี่ยวกับ นายธรรมรัตน์ บ้างให้ตำรวจดำเนินการให้เสร็จ ซึ่ง นายธรรมรัตน์ กล่าวว่า จนปัจจุบันตัวเองถูกตำรวจแจ้งความดำเนินคดีแล้ว 16 คดี
ก่อนหน้านี้ นายธรรมรัตน์ เคยเข้าร้องเรียนและมอบหลักฐานการเก็บส่วยของตำรวจภูเก็ตต่อ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจแห่งชาติ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และเมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา นายธรรมรัตน์ ได้มาเสวนาที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในหัวข้อ “ขบวนการส่วยตำรวจไทย......หายนภัยของชาติและประชาชน” โดยแฉว่าพื้นที่ อ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต มีการจ่ายส่วยถึง 33 หน่วย ขณะที่พื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา รุนแรงกว่า อ.ป่าตอง 2 เท่า
ทางด้านเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ(คป.ตร.) หรือ Police Watch เรียกร้องให้นายกฯปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในองค์กรตำรวจอย่างจริงจัง พร้อมให้ความคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้แจ้งเบาะแส และปฏิรูปงานสอบสวนโดยแยกจากภารกิจด้านการปราบปราม พร้อมระบุกรณีของ นายธรรมรัตน์ ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลพยานหลักฐานว่าตำรวจในจ.ภูเก็ต หลายหน่วยทุจริตรับสินบนจากแหล่งอบายมุขและผู้กระทำผิดกฎหมายต่างๆ สะท้อนปัญหาการทุจริตต่อหน้าที่ในองค์กรตำรวจยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมา แม้นายกฯและหัวหน้าคสช.จะมีคำสั่งกำชับผู้รับผิดชอบให้ดำเนินการปราบปรามและป้องกันมิให้เกิดขึ้น แต่หัวหน้าหน่วยตำรวจผู้รับผิดชอบระดับต่างๆ ก็ไม่ได้นำพาสนใจปฏิบัติตามคำสั่งแต่อย่างใด
แถลงการณ์ของ คป.ตร. ยังระบุว่า หลังคสช.ยึดอำนาจ ทุกคนต่างหวังว่ารัฐบาลจะจัดการปัญหาการทุจริตรับสินบนอย่างจริงจัง แต่ขณะนี้ทุกอย่างกลับไปอยู่ในสภาพเดิมซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง จึงอยากเรียกร้องให้นายกฯให้ความสนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการลงไปตรวจสอบการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ด้วยตนเอง ส่วนปัญหาเฉพาะหน้าควรสั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) สืบสวนกรณีที่น่าเชื่อว่านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทุจริตประพฤติมิชอบ และให้ความคุ้มครองความปลอดภัยแก่ นายธรรมรัตน์ รวมทั้งบุคคลอื่นที่แจ้งเบาะแสการกระทำผิดของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนกล้าแจ้งเบาะแสการกระทำผิด
ส่วนปัญหาระยะยาว นายกฯต้องเร่งปฏิรูปองค์กรตำรวจด้วยการแยกงานสอบสวนออกจากการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ต้องให้อัยการมีอำนาจร่วมสอบสวนคดีสำคัญหรือเมื่อประชาชนร้องเรียนได้ตั้งแต่เกิดเหตุเพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใช้อำนาจบังคับบัญชาทั้งทางตรงและทางอ้อมสั่งให้พนักงานสอบสวนบิดเบือนคดี หากการสอบสวนเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาไม่ถูกแทรกแซงก็เชื่อว่าจะไม่มีผู้ประกอบการรายใดจ่ายสินบนหรือส่วยให้ตำรวจ รวมทั้งปัญหาการซื้อขายตำแหน่งนายตำรวจเพื่อเก็บส่วยรับสินบนก็จะหมดไปด้วย
เพราะฉะนั้นได้แต่หวังว่าการดำเนินคดีกับ “โจ้สปอตไลท์ภูเก็ต” คงจะไม่ใช่การปิดปากตัดตอนและปรามไม่ให้มีการเปิดโปงส่วยสีกากีในเรื่องอื่นๆ ต่อไป ขณะเดียวกันผู้นำอำนาจรัฐคสช.ควรดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคป.ตร.อย่างจริงจังเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความจริงใจที่จะปฏิรูปตำรวจให้สำเร็จอย่างยั่งยืน
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี