รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ฉบับผ่านการออกเสียงประชามติโดยประชาชน ตามมาด้วย พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ.2560 เป็นที่มาของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้ง 11 ด้าน เพื่อจัดทำแผนปฏิรูปด้านต่างๆ เป็นการเริ่มต้นที่ดีในงานปฏิรูป แต่พอลงรายละเอียดดูท่าจะไม่สวย
ผ่านมา 3 ปีกว่า ประเทศไทยภายใต้การปฏิรูปโดย คสช. เอาเข้าจริงแล้ว ผิดหูผิดตาไปจากที่คาดหวังไว้มาก เรียกได้ว่าพลิกจากหน้าเป็นหลังเลย รากฐานวิธีคิดไม่ได้มาจากประชาชนแต่เป็นวิธีคิดเพื่อรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ราชการ เลยอยากชวนแฟนๆ คอลัมน์ตั้งข้อสังเกตเรื่องปฏิรูปตำรวจ
“ปฏิรูปตำรวจ” ที่ผ่านมาต้องยอมรับความจริงว่า แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนหรือโดยส่วนใหญ่จะเป็นตำรวจที่ดี ทำหน้าที่ดูแลประชาชน แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อยมีความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ
ผมขออธิบายแบบคร่าวๆ ว่า ก่อนรัฐประหารโดยคสช. นั้น การบริหารงานบุคคลแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1.) คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 4 คน รวม 11 คน เพื่อทำหน้าที่แต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ เอาว่า “ก.ต.ช.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่งตั้ง ผบ.ตร.”
2.) คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนเป็นประธาน โดย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงนั่งเป็นประธานแทน เช่น สมัยรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณหรือสมัยรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประกอบกับมี ผบ.ตร., รองผบ.ตร., จเรตำรวจแห่งชาติ, เลขาธิการ ก.พ. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 11 คน ทำหน้าที่แต่งตั้งโยกย้ายนายพลระดับ
ผู้บัญชาการภาคต่างๆ หรือเทียบเท่า เอาว่า “ก.ตร.ที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแต่งตั้ง นายพล”
3.) หัวหน้าหน่วยงานในระดับกองบัญชาการ ระดับพลตำรวจโท หรือ ผู้บัญชาการ แต่งตั้งโยกย้าย
นายพัน หรือสัญญาบัตรอื่นๆ เอาว่า “ผู้บัญชาการ แต่งตั้ง นายพัน นายร้อย” ที่สำคัญคือหัวหน้าสถานีในระดับผู้กำกับการ
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างที่มีนักการเมืองทั้งนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก.ต.ช.และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน ก.ตร.มี 2 แนวคิด มองในแง่ดี มันก็สะท้อนระบบตัวแทนในระบอบประชาธิปไตย ที่เลือกนักการเมืองมาบริหารประเทศ นักการเมืองก็ต้องบริการประเทศให้ดีมีธรรมาภิบาล และกำกับให้ตำรวจทำหน้าที่ให้ดี ให้สมกับที่ประชาชนมุ่งหวัง คือเข้าวงจร ประชาชนตั้งนักการเมือง นักการเมืองตั้งตำรวจ หากตำรวจรังแกประชาชน นักการเมืองก็ต้องจัดการ แต่หากมองอีกแง่ ถ้าได้เลือกตั้งแล้วได้นักการเมืองไม่ดี ไม่ทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนให้เหมาะสมตำรวจก็จะกลายเป็น “ตำรวจของนักการเมือง”
ผมเชื่อว่าสิ่งที่ประชาชนทุกคนอยากเห็นคือการทำให้ตำรวจเป็น “ตำรวจของประชาชน” โดยแท้จริง จึงเกิดแนวคิดในการปฏิรูปตำรวจกันอย่างกว้างขวาง จนเป็นประเด็นสำคัญในภารกิจตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติด้วยคะแนนเสียงจากประชาชนมาอย่างท่วมท้น ภายใต้ภารกิจปฏิรูปกลไกระบบยุติธรรม เดี๋ยวมาดูกันต่อว่าฝันนี้มันยังห่างไกลอย่างไร
หลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เป็นต้นมา การแต่งตั้งตำรวจในระดับนายพัน นายร้อย คือ ตำรวจที่ใกล้ชิดกับพื้นที่ในระดับผู้กำกับ รองผู้กำกับ สารวัตร เดิมอำนาจแต่งตั้งอยู่ที่หัวหน้าหน่วยงานในระดับผู้บัญชาการยศพลตำรวจโท ก็ถูกริบคืนไปรวมศูนย์เป็นอำนาจของ ผบ.ตร. ตัวอย่างเช่น เดิมถ้าจะย้ายตำรวจยศพันตำรวจเอกระดับผู้กำกับโรงพักป่าตองภูเก็ต ไปเป็นผู้กำกับโรงพักเมืองกระบี่ จะเป็นอำนาจของหัวหน้าหน่วยงานคือ ผู้บัญชาการภาค 8 ที่คุม 7 จังหวัดใกล้เคียงกัน แต่หลังรัฐประหารอำนาจนี้ไปอยู่กับ ผบ.ตร. จึงอาจจะทำให้การโยกย้ายช่วงหลังๆ มานี้มีชื่อตกหล่น ตั้งผิดตัวผิดตำแหน่งไปบ้างเพราะรวมศูนย์ที่เดียว การทำโผโยกย้ายมันยากขึ้นเพราะมันท็อปดาวน์ มากขึ้น ท่านผบ.ตร.คงจำลูกน้องได้ไม่หมด
คราวนี้มาดูแนวทางในอนาคตที่จะเปลี่ยนไป ที่อ้างว่าคือ “การปฏิรูปตำรวจ” คือ โครงสร้างของ ก.ตร. จากมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็จะมอบให้ ผบ.ตร. ทำหน้าที่แทน ซึ่งก็คือหน้าที่แต่งตั้งนายพล โดยเฉพาะแต่งตั้งระดับผู้บัญชาการ ที่เป็นหัวหน้าหน่วยงาน ตามผลสรุปแนวทางการปฏิรูปการบริหารงานบุคคลของคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ที่มีพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน เรียกได้ว่าเป็นการโอนอำนาจจากนักการเมือง ไปให้ข้าราชการตำรวจแต่งตั้งโยกย้ายกันเอง รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ข้าราชการตำรวจด้วยกันเอง เรียกได้ว่าสูตรปฏิรูป “ตำรวจของตำรวจ” นั่นเอง
ทว่า ฝันปฏิรูปตำรวจที่ประชาชนต้องการน่าจะเป็น “ตำรวจของประชาชน” มากกว่า คือ 1.ระดับชาติ โดยการกำกับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ดูแลหน่วยงานที่ส่วนกลางจำเป็นต้องกำกับ อาทิ กองบัญชาการสอบสวนกลาง ตำรวจสันติบาล ตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายนิติวิทยาศาสตร์ พิสูจน์หลักฐาน 2.ระดับจังหวัด โดยให้มีกองบัญชาการตำรวจจังหวัด การทำงบประมาณ บริหารงาน แต่งตั้งโยกย้าย การเจริญเติบโตในสายงาน ให้เป็นเรื่องภายในจังหวัด โดยให้มีคณะกรรมการตำรวจจังหวัดเป็นฝ่ายกำกับดูแล ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน มีกรรมการจาก อัยการ ผู้บัญชาการตำรวจจังหวัด ตัวแทนตำรวจชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวน อดีตตำรวจจังหวัดนั้นๆ และตัวประชาชนทั้งชาย
และหญิง
ข้อดีของระบบนี้ ป้องกันไม่ให้มีการซื้อขายตำแหน่งกันข้ามจังหวัดเพื่อหาผลประโยชน์ หรือกลั่นแกล้งโยกย้ายไปที่ไกลๆ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์เรื่องประสิทธิภาพการทำงาน รู้จักพื้นที่ มีความคุ้นเคยประชาชน นี่น่าจะเป็นความมุ่งหมายที่แท้จริงในนิยาม ตำรวจเก่งดีที่ไหนเจริญที่นั่น และหากชั่วที่ไหนก็จมที่นั่นเช่นกัน ตำรวจต้องสง่าภาคภูมิ ไม่ต้องวิ่งตำแหน่งให้เหนื่อย เป็น “ตำรวจของประชาชน”
ผมอยากชวนให้คิดเห็นกันว่า “สิ่งที่ฝัน” กับ “สิ่งที่ทำ” มันสวนทางกันหรือไม่ ? ตลอด 3 ปีกว่าแล้ว ที่ คสช. เข้ามาทำงานปฏิรูปประเทศ เราควรจะได้เห็นการกระจายอำนาจสู่มือประชาชนโดยตรง มากกว่ามือตัวแทนประชาชนหรือไม่ หรือจะยิ่งหนักกว่าเดิมคืออำนาจรวมศูนย์ในมือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
แต่ทุกอย่างก็อยู่ที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่จะตอบคำถามเหล่านี้ ด้วยการกระทำและใช้อำนาจเด็ดขาดที่มีอยู่ เพราะการเลือกตั้งจะช้าหรือเร็วนั้น คงไม่สำคัญทำเท่ากับปฏิรูปก่อนเลือกตั้งจะเกิดได้หรือไม่ และการปฏิรูปนั้นจะเป็นไปตามที่ประชาชนต้องการจริงไหม
สุดท้ายแล้ว ที่ คสช. อยู่ได้ทุกวันนี้ ยังมีประชาชนสนับสนุน ไม่ได้เป็นเพราะปืนที่ถืออยู่ แต่เป็นคำสัญญาที่ท่านจะปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้น...โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง ปฏิรูปนะครับ ไม่ใช่บริหารราชการปกติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี