ในอุดมคติตามหลักการของสำนักเศรษฐศาสตร์ที่มีอิทธิพลส่งผลต่อกระบวนการทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ตลอด20-30 ปีที่ผ่านมานี้ มักมีแนวคิดตามเกณฑ์ ตามการคิดคำนวณของธนาคารโลก (World Bank) หรือ IMF ไปเสียทั้งหมด แต่ปัญหาที่เราพอจะมองเห็นได้จากทั้งโลกก็คือ หลายๆ ที่โตแต่“ตัวเลข” แต่ไม่ได้โตทางสังคม หรือ“จิตวิญญาณ” ไม่ได้โตโดยเท่าเทียมกัน ไม่ได้โตขึ้นมาในระดับความเป็นอยู่เป็นไปของสังคมในรูปแบบเดียวกัน
ประชาชนทุกยุคทุกสมัยทุกประเทศคาดหวังว่า เมื่อมีปัญหาแล้ว ภาครัฐก็จะมาช่วยเหลือ จริงๆ เราต้องเข้าใจในโครงสร้างของภาครัฐก่อนว่า ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
ความสำคัญของการใช้จ่ายภาครัฐหรืองบประมาณแผ่นดินอยู่ในความสนใจของประชาชนมาโดยตลอด เนื่องจากมีมูลค่าสูงมากในแต่ละปี และทำสถิติใหม่พุ่งสูงที่สุดไปเรื่อยๆ ทุกปี ปีล่าสุดแตะหลัก 2.7 ล้านล้านบาทเข้าไปแล้ว ส่วนนี้เองเป็นสิ่งที่คนคิดว่าภาครัฐจะเข้ามาช่วยได้ทั้งหมด แต่ทราบไหมครับว่า เกินครึ่งไปมากเลยนั้นเป็นงบประมาณประจำของภาครัฐ ที่เอาไว้จ่ายเงินเดือนราชการ ค่าเช่าตึก ค่าน้ำ-ไฟ ค่าใช้จ่ายแบบที่ไม่ได้เป็นส่วนที่จะทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหรือต่อประชาชนในทางตรงแต่อย่างใด
คำถามในใจประชาชนไม่ว่ายุคสมัยใดคือ “งบประมาณมากมายมหาศาลเหล่านี้จะตกมาถึงตัวเราบ้างไหม?”
ประเทศไทยโดยโครงสร้างงบประมาณพบว่า การใช้จ่ายของภาครัฐ หรืองบประมาณรายจ่ายคิดเป็นเพียง 20% ของสัดส่วน GDP ของประเทศเท่านั้น พระเอกที่แท้จริงคือ การบริโภคภายในและการส่งออก
ตั้งแต่ยุคสงครามโลกเรื่อยมา นักเศรษฐศาสตร์ได้กำหนดเกณฑ์ในการชี้วัดการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และนั่นคือ GDP ในการคำนวณจากขารายจ่ายของภาคส่วนต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นทีมเศรษฐกิจของแต่ละรัฐบาลทั่วโลกจึงมุ่งเน้น “การปั๊มตัวเลข GDP ผ่านTransaction ของการใช้จ่าย” เป็นหลัก
อธิบายเพิ่มเติมอีกนิดก็คือว่า วิธีคำนวณการโตของเศรษฐกิจประเทศนั้น คำนวณไม่ได้แบบร้านค้าว่า มีกำไรเท่าไหร่ สร้างรายได้เท่าไหร่ เขาเลยเอาสิ่งที่จ่ายเพื่อให้เกิดรายได้ต่างๆ นั้นมารวมกันคือนับการโตจากเงินที่จ่ายแทน เหมือนจะไม่มีเหตุผล แต่ก็มีเหตุผลอยู่
ถามว่าทำไมทำแบบนี้ ก็เพราะขารายได้มันนับยากเหลือเกิน แถมคนก็ไม่ค่อยชอบบอกตรงๆ อีกว่า ตัวเองรายรับจริงนั้นมีเท่าไหร่เพราะจะโดนเก็บภาษี เลยนับขารายจ่ายแทนว่าจ่ายไปเท่าไหร่ ไม่ว่าจะตรงตัว C หรือ บริโภค ก็คือ รายจ่ายของประชาชน ตัว I หรือการลงทุน คือรายจ่ายธุรกิจภาคเอกชน ตัว G หรือ ภาครัฐ คือการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ตัว X-M ก็คือการใช้จ่ายที่คนต่างชาติซื้อของไทย นี่คือ ส่งออก หรือการใช้จ่ายของคนไทยที่จ่ายซื้อของต่างชาติก็คือ นำเข้า 5 ข้อนี้คือการเอามานับ GDP
ก็ย้ำอีกรอบครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายของประชาชนหรือที่เรียก การบริโภค การใช้จ่ายของนักธุรกิจที่เรียกว่า การลงทุนการใช้จ่ายภาครัฐที่เรียกว่า การเบิกจ่ายงบประมาณ การใช้จ่ายของผู้ซื้อสินค้าระหว่างประเทศที่เรียกว่า การส่งออก และ นำเข้า เหล่านี้ทำให้แทบทุกชาติมุ่งเน้นที่ตัวเลข GDP สูงๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงมิติอื่นๆ ที่สำคัญยิ่งกว่านั่นคือ มิติทางสังคม ซึ่งก็คือ มนุษย์หรือประชาชนในชาติ นั่นเอง คำถามคือแล้วส่วนตรงนี้มันมีประชาชนเกี่ยวพันอยู่ทุกกระบวนการไม่ใช่หรือ ก็ใช่ แต่เป็นทุกคนในชาติหรือไม่คำตอบคือ ไม่ใช่
อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อแทบทุกรัฐบาลของทั้งโลกมุ่งเน้นการทำให้เศรษฐกิจโต แต่ลืมบางอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดไว้ข้างหลัง เพราะมีแนวความเชื่อที่เรียกว่า Trigger Down หรือการที่มีคนบอกว่า ทำให้เศรษฐกิจการค้าการลงทุนโต เจริญๆ ไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวก็จะเกิดผลพลอยได้ตกแก่ประชาชนเองนั่นแหละ...
ผ่านมา 30-40 ปีพบว่า ไม่เป็นเช่นนั้น ตัวอย่างชัดเจนจากประเทศไทยของเราเองมีอัตราส่วนความเหลื่อมล้ำสูงถึง 13 เท่าโดยเทียบคนจนสุด 20% สุดท้าย กับคนรวยสุด 20% บนของประเทศเรามีสัดส่วนต่างกัน 13 เท่า และเป็น 13 เท่า แบบนี้มากว่า20 ปีแล้ว
สาเหตุหลักเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ ปัจจัยในการสร้างรายได้ของประชาชนล้มเหลว การที่ประชาชนจะสร้างรายได้ให้มีความกินอยู่ที่ดีได้นั้น จะต้องมี 3 ปัจจัยหลักๆ
1.ที่ดินทำกิน เราไปดูข้อมูลก็พบว่า…คนไทยมากกว่า 3 ใน 4ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใดๆ เลยและโฉนด 60% ของประเทศอยู่ในมือกลุ่มคนรวยที่สุด 10% เท่านั้น
2.แหล่งทุน พบอีกว่า.. คนไทยกว่า 90% มีเงินในบัญชีไม่ถึง 5 หมื่นบาท ในขณะที่เพียง 1% กว่าเท่านั้นที่มีเงินในบัญชีเกิน1 ล้านบาท
3.การศึกษา น่าเห็นใจสุดๆ โอกาสที่ลูกคนที่มีรายได้น้อยจะได้เข้ามหาวิทยาลัยต่างจากคนอื่นๆ สูงถึง 19 เท่า
ดัชนีเหล่านี้สะท้อนปัญหาที่หมักหมมมายาวนานจากการที่เรามุ่งพัฒนาเศรษฐกิจให้โต แบบแยกจากการทำให้ทุกคนเท่าเทียม ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านๆ มา อาจจะมีแนวนโยบายและหลักสวัสดิการที่ดูแลปัญหาเหล่านี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำอยู่แล้วเช่นกัน ได้แก่
1.เพื่อตอบโจทย์ ปัจจัยที่ดินทำกินก็มีนโยบายอย่าง ภาษีที่ดิน, โฉนดชุมชน, ธนาคารที่ดิน
2.เพื่อตอบโจทย์ ปัจจัยแหล่งทุนก็มีให้เห็น เช่น แก้หนี้นอกระบบ, กองทุนการออมแห่งชาติ, ฟินเทค ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการให้คนเข้าถึงแหล่งทุนและโอกาสการลงทุน
ถามว่าเหล่านี้คือเรื่องที่ดีไหม แน่นอนดีมากๆ ครับ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่กลางถึงปลายเหตุ
เพื่อแก้ปัญหาจากต้นเหตุจริงๆ ควรอย่างยิ่งต้องทำข้อ 3เพื่อตอบโจทย์ปัจจัยการศึกษาอันนี้เป็นจุดเด่นของทางพรรคประชาธิปัตย์คือ เรียนฟรี และทีมนโยบายซุ่มทำ โครงการ English For All และก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องทางการศึกษาอย่าง กศน.,นมโรงเรียน รวมไปถึง กยศ. ก็เป็นแนวหลักการที่ดี ให้โอกาสคนเรื่องการศึกษา ถึงแม้หลายเรื่องไส้ในรายละเอียดเราต้องการผู้นำนโยบายไปปฏิบัติจริงให้สัมฤทธิผลที่เก่งกว่านี้ แต่ก็ต้องช่วยๆ กันทำไป
นอกจากนโยบายหลักดังกล่าว ก็ยังมีมาตรการอื่นๆ ทางภาษีอีกเช่นกันที่ถูกคิดค้นออกมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนมากมาย เช่นกลไกภาษีในขารายจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อยไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานฟรี-น้ำไฟฟรี รถไฟฟรีรถเมล์ฟรี การพยุงราคาดีเซล โดยการลดภาษีสรรพสามิตเนื่องจากคนที่ใช้ดีเซลมีรายได้น้อยเป็นส่วนใหญ่ หรือในรัฐบาลปัจจุบันก็มีเรื่องบัตรคนจนเพื่อช่วยบรรเทาภาระในเรื่องต่างๆ (ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย)
แล้วก็ยังมีกลไกภาษีในขารายได้ของกลุ่มผู้มีรายได้สูงกลไกการเก็บภาษีรายได้แบบขั้นบันได, ภาษีมรดก,ภาษีที่ดินโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะให้ตรงเป้าที่สุดควรต้องทำ Earmarked Tax ไปสู่เป้าหมายของแต่ละเรื่องและยังต้องมีภาษีสิ่งปลูกสร้างที่มีหลักการเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนมือในการถือครอง กระจายกรรมสิทธิ์เพื่อให้เกิดประโยชน์หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้
มากที่สุด
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นที่น่ายินดีตรงที่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ “ธนาคารโลก” ในยุคปัจจุบันกำหนดนิยามของ“ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” ของแต่ละประเทศไว้ใหม่คือ
1.ประเทศจะมั่งคั่งได้ต้องมี “ทุนมนุษย์” หมายถึงมนุษย์ที่มีการศึกษามีประสิทธิภาพในการผลิตมีศักยภาพ
2.ประเทศจะมั่งคั่งได้ต้องมี “ทุนในการผลิต” หมายถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีการลงทุนในเรื่องที่เป็นสิ่งจำเป็นที่เป็นรากฐานในการพัฒนาด้านอื่นๆ
3.ประเทศจะมั่งคั่งได้ต้องมี “ทุนทางสิ่งแวดล้อม” หมายถึงการมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มีการจัดสรรที่มีประสิทธิภาพเป็นธรรมและไม่ล้างผลาญ เช่น เทรนด์การเลิกใช้ถ่านหินมาใช้พลังงานสะอาดเป็นทิศทางที่ดี
นโยบายของประเทศไทยจำเป็นอย่างยิ่งต้องหันกลับมาสร้างความสมดุลต่อทั้ง 3 มิตินี้อย่างจริงจัง เพื่อลดการโตเฉพาะเศรษฐกิจ แต่ต้องให้ปากท้องประชาชนโตไปด้วยกัน อย่างเข้มแข็ง
เมื่อไหร่ที่ประชาชนคนไทยเข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะเข้มแข็งไปด้วยกัน!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี