กรณีป้าใช้ขวานทุบรถกระบะที่มาจอดขวางประตูหน้าบ้าน มีคนเข้าใจผิด ว่าการใช้ขวาน ใช้ความรุนแรง เป็นวิธีการที่ได้ผล ทำให้ตลาดสดที่สร้างความรำคาญ ต้องปรับปรุงหรือหยุดกิจการ เจ้าหน้าที่ผู้ปล่อยปละละเลยต้องขยับทำตามกฎหมาย และอาจต้องได้รับโทษ
เข้าใจผิดว่า ทั้งหมดนี้ เพราะฤทธิ์เดชของขวาน
(ความรุนแรง)
1. ในความเป็นจริง ถ้าจะวิเคราะห์กันถึงเหตุปัจจัยที่แท้จริง ปัจจัยที่ทำให้เรื่องพัฒนาไปอย่างถูกต้อง สร้างสรรค์ ก็เพราะแรงกดดันของประชาชนที่ได้รับรู้เรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดียเป็นอันดับแรก สื่อกระแสหลักตามข่าวของพลเมืองผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมรับรู้ข้อมูลที่ป้า 2 คน ระทมทุกข์มานับ 10 ปี
ลองคิดดู ถ้าไม่มีเทคโนโลยีที่ให้โซเชียลมีเดีย เหตุการณ์ป้าทุบรถด้วยขวานในหมู่บ้านเสรีวิลล่า ก็คงถูกตำรวจดำเนินคดีข้อหาทำลายทรัพย์สินผู้อื่น ทำให้เสียทรัพย์ ข่มขู่คุกคาม พกอาวุธในที่สาธารณะ โดยไม่มีใครรู้เหตุผล ปัจจัยเบื้องหลัง แรงกดดัน ป้าทั้งสองคนคงต้องจ่ายเงินชดใช้ อาจมีคดีอาญาติดตัว เจ้าของตลาดเถื่อนและเจ้าหน้าที่รัฐคงลอยนวลต่อไป
แต่เหตุการณ์กลับพัฒนาการไปในทางสร้างสรรค์ ผู้ว่าฯกทม. ศาลปกครองสูงสุด และทุกฝ่ายต้องตื่นและรีบขยับการใช้กฎหมายให้เป็นธรรม เป็นเพราะโซเชียลมีเดีย ที่ส่งข้อมูลความไม่เป็นธรรมถึงประชาชนวงกว้าง จนเกิดแรงกดดันเจ้าหน้าที่และกระบวนการยุติธรรม
“ขวาน” จึงเป็นเพียงตัวประกอบ ที่เป็นของแปลก ทำให้คนโจษจันกันสนุก
ดังนั้น กรณีอื่นๆ หากใช้ขวาน หรือความรุนแรง โดยไม่มีปัจจัยข้อเท็จจริงที่โดนใจสังคม สังคมไม่เห็นใจ หรือไม่เห็นด้วย การใช้ขวานหรือความรุนแรง ก็จะเกิดโทษกับตัวผู้ใช้เอง และในกรณีป้าสองคนนี้ ก็คงต้องชดใช้การกระทำที่เกินเลย จ่ายค่าซ่อมแซม ค่าปรับ ไปตามความผิดตามกฎหมาย แม้สังคมจะเห็นใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ และควรแยกแยะประเด็นการกระทำละเมิดผู้อื่น ละเมิดกฎหมาย ก็ต้องชดใช้รับผิด
2. เรื่องนี้ มีตัวละครหลักที่เกี่ยวข้องอยู่ 4 คน คือ
(1) ป้าสองคนที่ใช้ขวานทุบรถ
(2) สาวจอดรถขวางประตูเข้าออกบ้านป้า
(3) เจ้าของตลาดสดเถื่อน
(4) เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ปล่อยปละละเลย และอาจละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หรือประพฤติโดยทุจริต
ปัญหาที่น่าสนใจ คือ ทุกคนมีความผิด บกพร่อง แต่สังคมจะให้น้ำหนักกับเรื่องอะไรมากกว่า
หากจะถามว่า ตัวละคร 4 ตัวนี้ หากจะให้ผู้อ่านเรียงลำดับความเลวร้าย หรือความแย่ แล้ว ใครจะเลวร้ายมากกว่ากัน?
หากลองสรุปข้อเท็จจริงที่ได้รับทราบมา จะพบว่า
(1) ป้าสองคน บันดาลโทสะ ใช้เสียมและขวานทุบรถของคนที่มาจอดรถขวางทางเข้าออกประตูบ้าน เนื่องจากแรงกดดันที่ต้องอดทนมาเกือบ 10 ปี กับสภาพแวดล้อมรอบบ้านที่เป็นตลาดสด มีกลิ่น เสียง ความพลุกพล่านรบกวนบ้านที่อยู่อาศัย
(2) หญิงสาวเจ้าของรถ นำรถมาจอดขวางประตูบ้านป้า เพื่อตนจะได้ไปจับจ่ายซื้อของในตลาดสดใกล้เคียง โดยจอดตายคาไว้ ไม่ให้สามารถเข็น/ขยับไปไหนได้ อ้างว่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบ้านร้าง มีตัวหนังสือและเอกสารทางการปิดทับประตูบ้านไว้เต็มไปหมด
(3) เจ้าของตลาดที่ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต แสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย กอบโกยเงินค่าเช่าตลาดเข้ากระเป๋าส่วนตัว โดยยังไม่ปรากฏว่าดำเนินกิจการในนามบริษัทใด เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือไม่ แต่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อยู่อาศัยในเขตที่อยู่อาศัย ทำให้เกิดความพลุกพล่าน จอแจ เสียงดัง กลิ่นเหม็น ขยะจากอาหารของสด หนูขวักไขว่ มานานหลายปี
(4) เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ต้องรักษากฎหมาย ดูแลความถูกต้องของการจัดระเบียบโซนนิ่ง ไม่ปล่อยปละละเลย หรือไม่รู้เห็นเป็นใจมีผลประโยชน์ร่วมกับเจ้าของตลาดเถื่อน รวมถึงต้องใช้กระบวนการยุติธรรมให้รวดเร็วเป็นธรรม เพราะความล่าช้าของเจ้าหน้าที่และศาล ก็คือความไม่ยุติธรรม
แบบทดสอบ
ลองจัดลำดับความเลวร้ายของความบกพร่องดูในใจของท่านนะครับ ท่านคิดว่าฝ่ายไหนแย่กว่าเพื่อน
ลองเรียงตามลำดับความเลวร้ายด้วยครับ
คำตอบของผม ก็คือ จะหาอันดับความเลวร้ายที่เป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ได้หรอกครับ
ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ โลกทัศน์ ชีวทัศน์ ค่านิยม สภาพแวดล้อมชีวิตของแต่ละท่านที่เติบโตและประสบมาในชีวิต ย่อมน้ำหนักความดีเลวแตกต่างกันไป ทั้งๆ ที่ เห็นตรงกันว่าอะไรดี อะไรเลว แต่น้ำหนักที่ให้ก็แตกต่างกันไปตามสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์
คนที่เคยมีบ้านที่อยู่อาศัยใกล้สถานประกอบการที่ส่งความรำคาญหรืออันตราย ก็จะให้น้ำหนักกับความผิดพลาดของป้าน้อย ด้วยความเข้าจิตเข้าใจในความทุกข์ร้อน แต่จะให้น้ำหนักกับความบกพร่องของเจ้าของตลาดเถื่อน ผู้สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และเจ้าหน้าที่ผู้ละเลยมากกว่า
คนที่เคยขับรถหาที่จอดลำบาก และเคยขอจอดชั่วคราว แป๊บเดียวเพื่อซื้อของ ก็จะเห็นใจสาวจอดรถ และคิดว่าป้าใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ
คนที่ประกอบธุรกิจค้าขาย อยู่กับการหาเงินข่ายเงิน แลกเปลี่ยนสินค้า ก็มองว่าตนจำเป็นต้องทำมาค้าขาย รบกวนบ้าง ผิดกฎหมายบ้าง ก็ช่วยๆ กันได้ หยวนๆ ไป รวมทั้งช่วยอำนวยประโยชน์ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่เงินเดือนน้อย ทำให้มีรายได้เพิ่มพิเศษ ถ้ารบกวนกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ใครๆ เขาก็ทำกัน ควรมีน้ำใจกัน
ส่วนคนที่คุ้นเคยกับการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือตำรวจ ก็มักคิดว่าต้องผ่อนผันบ้าง ตึงเกินไปก็ไม่ดี ที่อื่นๆ เขาก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ เจ้าของตลาดสดเขาก็ทำมาหากิน ต้องมีน้ำใจเจือจาน แบ่งประโยชน์กัน อยู่ร่วมกันต้องเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกันไป เผลอๆ อาจไปคิดเหมือน ผอ.เขตประเวศ ว่าหากตนเองเป็นเจ้าของบ้าน มีตลาดล้อมรอบอยู่เช่นนี้ จะเอาบ้านเป็นที่ค้าขายไปด้วยเสียเลย หรือขายบ้านให้คนอื่นทำตลาดค้าขาย แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นดีกว่า
หากท่านผู้อ่านให้น้ำหนักอย่างไร ก็เป็นค่านิยมส่วนตัว ไม่มีใครติชมได้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความคิดจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อมของแต่ละคนครับ
แต่สำหรับผม อาศัยค่านิยมส่วนตัว ลองลำดับข้อบกพร่องของตัวละครข้างต้นที่เลวร้ายมากสุด เห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปล่อยปละละเลย กับเจ้าของตลาดเถื่อน
ส่วนป้าสองคนที่ทุบรถ กับสาวที่จอดรถขวางประตูบ้านป้า ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่า ใครเลวร้ายกว่ากัน
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี