1.รัฐบาล คสช.ออกมาตรการช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ แก้ขัดสนในลักษณะเติมเงินรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรชนิดที่มีราคาตกต่ำหนักๆ ในช่วงที่ผ่านมา
1.1 ยางพารา
จะช่วยเหลือชาวสวนยางตามพื้นที่เปิดกรีดจริง
จ่ายช่วยเหลือชาวสวนยาง 1,800 บาทต่อไร่
ไม่เกินรายละ 15 ไร่ (ไม่เกินรายละ 27,000 บาท)
กรณีมีคนกรีดยางเจ้าของสวนยาง 1,100 บาทต่อไร่ และคนกรีดยาง 700 บาทต่อไร่
1.2 ปาล์มน้ำมัน
จะช่วยเหลือชาวสวนปาล์มในอัตราไร่ละ 1,500 บาท
ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 22,500 บาท
1.3 ข้าว
มีมาตรการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพ 1,500 บาทต่อไร่
ครัวเรือนละไม่เกิน 12 ไร่ หรือไม่เกิน 18,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก มีมาตรการจูงใจให้ชาวนาเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของตนเอง โดยชาวนาที่มียุ้งฉาง เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน
กรณีไม่มียุ้งฉางเป็นของตนเอง แต่เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร สามารถนำข้าวไปฝากเก็บกับสถาบันเกษตรกร ซึ่งเกษตรกรจะได้รับค่าฝากเก็บตันละ 1,000 บาท (สหกรณ์ได้ค่าเก็บ 500 บาท)
หรือหากประสงค์จะสร้างยุ้งฉางเอง สามารถขอรับสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉาง โดยรับภาระดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี
สามารถรับสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. นำไปใช้จ่ายก่อน แต่ข้าวเปลือกยังเป็นของชาวนา โดยเก็บไว้ที่ยุ้งฉางของชาวนาเอง และหากในอนาคต นำข้าวออกไปขาย (ซึ่งราคาอาจจะดีกว่าตอนที่ข้าวออกมาเยอะๆ หรือไม่ก็ต้องเก็งกำไรเอาเอง) แล้วค่อยเอาเงินมาใช้คืนสินเชื่อ ธ.ก.ส.
2.ข้อดีของมาตรการเหล่านี้ คือ รัฐบาลไม่ต้องมีภาระในการเก็บรักษาพืชผลการเกษตร เหมือนในยุครัฐบาลสมัยที่ชอบหากินกับนโยบายแทรกแซงพืชผลการเกษตร ทั้งข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลำไย ฯลฯ
การจ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ไม่ต้องไปรับซื้อพืชผลการเกษตร จึงไม่มีช่องทางให้ผู้มีอำนาจรัฐโกงสารพัดวิธีเหมือนในอดีต เช่น โกงน้ำหนัก โกงความชื้น โกงพืชผลเกษตรลม โกงระบายข้าวจีทูจี มันสำปะหลังจีทูจี ฯลฯ
3.ข้อดีประการต่อมา คือ เกษตรกรรายใดดูแลพืชผลการเกษตรของตนเองดีกว่าคนอื่น ได้ผลผลิตเกรดดีกว่าคนอื่น ก็สามารถจะขายให้พ่อค้าได้ราคาดีที่สุดตามที่ตนเองจะขายได้จริง เป็นรายได้เข้ากระเป๋าอีกหนึ่งทาง ตามความสามารถในการผลิตและการตลาดของเกษตรกรแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มสหกรณ์
เงินช่วยเหลือจากรัฐบาล เสมือนเป็นเงินกินเปล่า
แต่เงินจากการจัดการขายพืชผลการเกษตรของตนเอง เป็นอีกส่วนต่างหาก ใครจะได้มาก-น้อยอย่างไร ขึ้นกับความสามารถของตัวเกษตรกรเอง
4.แต่การที่รัฐบาล คสช.เลือกใช้วิธีช่วยเหลือแบบบรรเทาทุกข์เฉพาะหน้า โดยประกาศอัตราการช่วยเหลือเป็นครั้งคราวไป ตามความสะดวกหลายๆ ด้านของผู้มีอำนาจรัฐ
จะช่วยไร่ละเท่าไหร่?
ตันละเท่าไหร่?
ไม่เกินครอบครัวละเท่าไหร่?
โดยที่ไม่ได้มีการวางแผนและแจ้งให้ทราบล่วงหน้ามาก่อน ทำให้เกษตรกรเสียโอกาสในการจัดการหลายๆ อย่าง และทำให้มาตรการเหล่านี้มีลักษณะประชานิยม
ตรงกันข้าม หากรัฐบาลมีการวางแผนและประกาศแจ้งชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลผลิตว่า รัฐบาลจะมีมาตรการ “ประกันรายได้” หรือการันตีว่าเกษตรกรจะมีรายได้อย่างน้อยเท่าไหร่ โดยยึดโยงกับราคาสินค้าเกษตรที่ตนเองผลิต ในทำนองว่าหากราคาต่ำกว่าเท่านี้ รัฐบาลจะชดเชยส่วนต่างรายได้แก่เกษตรกรในเกณฑ์เท่านั้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการนำพืชผลไปขายในระบบตลาดปกติ หากแม้นราคาตกต่ำก็จะยังมีรายได้เพิ่มเติมจากรัฐบาล กระทั่งมีรายได้ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ
ถ้าแบบนี้ เกษตรกรก็สามารถวางแผนการผลิต การตลาดของตนเองได้ดีขึ้น
รัฐบาลก็ไปบริหารจัดการพืชผลการเกษตรมิให้ราคาตกต่ำเกินไป เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ดี และไม่ต้องเสียงบประมาณชดเชยรายได้แก่เกษตรกร
ที่ผ่านมา เคยมีรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินนโยบายลักษณะแบบนี้ และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สามารถควบคุมงบประมาณแผ่นดินได้อย่างดี ไม่มีช่องทางรั่วไหลไปกับการรับซื้อและระบายพืชผลการเกษตรของภาครัฐ
หากต้องการจะให้เกษตรกรได้รับเงินเพิ่มมากกว่าเดิม ก็สามารถพิจารณากำหนดเงินส่วนต่างที่จะจ่ายชดเชยให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนได้ เงินก็จะเข้ากระเป๋าเกษตรกรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีช่องทางทุจริตโกงกินมโหฬารแบบโครงการจำนำข้าว “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์หนี บุญทรงติดคุก”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี