สวัสดีครับท่านผู้อ่าน แฟนคอลัมน์ “บทเรียนจากความจริง กับ ดร.จีระ”หวังว่าในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาท่านจะได้ติดตามเนื้อหาสาระที่น่าสนใจในหลากหลายมุมมองจากนักคิดและนักปฏิบัติซึ่งผมได้เชิญมาร่วมเขียนสำหรับสัปดาห์นี้ก็เช่นเดียวกันครับ ทีม Chira Academyซึ่งเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของผม ทำงานร่วมกับผมอย่างใกล้ชิดมากกว่า 20 ปี จะเป็นผู้เล่าเรื่องราวกรณีศึกษาวิธีการเรียนรู้ที่ทรงประสิทธิภาพในยุคนี้ ที่ผมเชื่อว่า Disruptive Technology หรือ AI ก็ไม่น่าจะทดแทนได้
Learning How to Learn ในแบบ Chira Way
วราพร ชูภักดี ร่วมกับ เขมิกา ถึงแก้วธนกุล
เมื่อพูดถึงคำว่า “ผู้นำ” หลายคนคงนึกถึงผู้นำที่มีตำแหน่งในระดับประเทศหรือในองค์กร หากแต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วทุกคนก็สามารถเป็นผู้นำได้ และเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีภาวะผู้นำในตนเอง
ทุกวันนี้มีหลักสูตรการพัฒนาผู้นำและการฝึกอบรมเกิดขึ้นมากมาย และเกือบทุกหน่วยงานในประเทศไทยและในโลกต่างก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้นำและภาวะผู้นำทั้งสิ้น หากแต่จะมีหน่วยงานใดบ้างที่สามารถประสบความสำเร็จ หรือสร้างคุณค่าใหม่ๆ จากการพัฒนาผู้นำได้จริง
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เป็นนักพัฒนาผู้นำคนหนึ่งในประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากหลายๆ หน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยมีวิธีการพัฒนาผู้นำที่เน้น “Learning How to Learn” จุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้ “ผู้นำ” เกิดไฟในการพัฒนาและเห็นคุณค่าของตนเองเพื่อองค์กรและสังคม
เพื่อเป็นการขยายความที่ชัดขึ้นว่า “Learning How to Learn”ในแบบ Chira Way เป็นอย่างไร? ผู้เขียนจึงขอนำกรณีศึกษาของสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ซึ่ง ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ และทีม Chira Academy ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้และจัดการบรรยาย จำนวน 5 วัน เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร “นักบริหารสุขภาวะเขตเมือง” รุ่นที่ 1 เพื่อพัฒนาข้าราชการสำนักอนามัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพทย์และพยาบาล จำนวน 30 คน ในระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม-7 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา
ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบ “Learning How to Learn” ด้วยเครื่องมือ “Learn-Share-Care” ในวิถีของ Chira Way จึงเน้นการตั้งโจทย์ให้ผู้เรียนร่วมกันคิด เรียกว่า “ปะทะกันทางปัญญา” ทำให้การเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆ เป็นการร่วมกันระดมความคิดเป็นแนวทางเพื่อการพัฒนา โดยมีเนื้อหาสาระที่สำคัญโดยสังเขปดังต่อไปนี้
หัวข้อแรก เรื่อง “ภาวะผู้นำและการนำองค์กรทางสุขภาพ”ในเรื่องนี้ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้นำเสนอทฤษฎี แนวคิด และกรณีศึกษาต่างๆ อย่างครบถ้วน มีการระดมความคิดเพื่อค้นหาคุณลักษณะและบทบาทของผู้นำที่พึงปรารถนา 5 ประการ ในการนำองค์กรของสำนักอนามัยเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลุกความคิดเรื่องคุณลักษณะและบทบาทของผู้นำในตัวผู้เรียนเองได้อย่างดี ดังนี้
และเมื่อมีการนำเรื่อง “ศาสตร์พระราชา” มาเป็นโจทย์ให้คิดต่อยิ่งเป็นการตอกย้ำคุณลักษณะและบทบาทของผู้นำสำนักอนามัยฯ ในเรื่องการมีคุณธรรม จริยธรรม ใฝ่รู้ พอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน มีความคิดเป็นระบบคิดถึงระยะยาวและยั่งยืน
นอกจากนั้น เพื่อเสริมให้การพัฒนาภาวะผู้นำและการนำองค์กรของสำนักอนามัยมีความสมบูรณ์มากขึ้น ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ยังได้ฉายภาพให้เห็นถึงความสำคัญของผู้นำกับการพัฒนาเครือข่าย (Networking) เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในอนาคตด้วย
หัวข้อที่สอง เรื่อง“การพัฒนาเขตเมืองอย่างยั่งยืน” ซึ่งได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา เป็นวิทยากรพิเศษ ซึ่งได้พูดถึงแนวทางการวางผังเมืองอย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับความรู้ความเข้าใจในลักษณะของชุมชนเมืองที่ดีวิธีการกำหนดโซนนิ่งที่เหมาะสม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการพื้นที่สาธารณะเพื่อเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วม โดยคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำในมิติต่างๆ ในชุมชนเมือง และคนหลายกลุ่มในสังคม อาทิ ผู้สูงอายุหรือคนพิการ เป็นต้น
ไฮไลท์ของการเรียนรู้ในเรื่องนี้ คือ การร่วมกันวิเคราะห์โจทย์ เพื่อนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาสู่การปรับใช้ และการมองมิติของการพัฒนาทุนมนุษย์ในสังคมเมืองด้วยแผนภาพสถาปัตยกรรมทุนมนุษย์(HR Architecture) ของ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพของงานและบทบาทของสำนักอนามัยฯ ต่อการพัฒนาเขตเมืองอย่างยั่งยืนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
หัวข้อที่สาม เรื่อง “การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ” ได้รับเกียรติจากศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ เป็นวิทยากรพิเศษ ได้นำเสนอวิธีการคิดเพื่อการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์มาก อาทิ
เรื่องแรกคือการให้ความสำคัญกับสัมฤทธิผล (Effectiveness)ของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจซึ่งมี 3 ระดับจากน้อยไปหามากคือ ระดับแรก คือ ได้ผลผลิต (Output)ระดับที่สอง คือ ได้ผลลัพธ์ (Outcome) และระดับที่ 3 คือ ผลกระทบ (Impact)
เรื่องที่สอง คือ การวิเคราะห์ปัญหาและการตัดสินใจแบบห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)จะช่วยทำให้เห็นกระบวนการของการแก้ปัญหาและตัดสินใจได้ชัดและดีขึ้น
เรื่องที่สาม คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นมี 3 ลักษณะ คือ1) ไม่คาดคิดมาก่อน(Unplan) 2) ไม่รู้สาเหตุ (Unknown) และ 3) เป็นปัญหาที่มีระดับที่ต้องห่วงอย่างไร (Concern)
เรื่องสุดท้าย คือ เมื่อเจอปัญหาต้องตอบ 4 คำถาม คือ1) When? ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อไหร่? 2) Where? ปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน? 3) How? ปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร? และ 4) Scope? ขอบเขตของปัญหาเป็นอย่างไร? Scope พิจารณาจากความถี่xความรุนแรง
วิธีการคิดเพื่อการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจดังกล่าวข้างต้น เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้สามารถเข้าใจสาเหตุของปัญหา สามารถแก้ไขหรือตัดสินใจได้ตรงจุด ทันเวลาและสามารถดังปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนำมาสู่การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ได้
หัวข้อที่สี่ เรื่อง “การคิดอย่างเป็นระบบ” ได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ เป็นวิทยากรพิเศษ มาให้ความรู้เทคนิคของการคิดอย่างเป็นระบบ(Systems Thinking) และความคิดในเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) ซึ่งจะต้องสามารถเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และสามารถเชื่อมโยงได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน อาจารย์ได้เล่าถึงกรณีศึกษาต่างๆและวิธีการคิดอย่างเป็นระบบเชิงกลยุทธ์อย่างน่าสนใจมาก ปิดท้ายด้วยโจทย์การคิดอย่างเป็นระบบจากแผนภาพ HR Architectureมาสู่การพัฒนางานในมิติต่างๆ ของสำนักอนามัยฯ
หัวข้อที่ห้า เรื่อง “การบริหารการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาองค์กร” ได้รับเกียรติจาก ดร.เกริกเกียรติ ศรีเสริมโภค เป็นวิทยากรพิเศษ ซึ่งได้พูดถึงหลายเรื่องที่น่าสนใจ โดยเฉพาะแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในองค์กรยุคดิจิทัล 6 เรื่องที่สำคัญ ประกอบด้วย1) ความเร็วของนวัตกรรม (Speed of Innovation) 2) การเชื่อมต่อได้หลายรูปแบบ (Hyper Connectivity) 3) การเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) 4) ความซับซ้อนของการเติบโต(Complexity of Growth) 5) ความยั่งยืนของกิจการ (SustainableEnterprising) และ 6) วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป (Changing Lifestyle)
และเรื่องเหล่านี้ทำให้หลายๆ องค์กรต่างต้องตื่นตัวกับการปรับกระบวนทัศน์ใหม่หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาในระดับของการเปลี่ยนแปลงจากง่ายที่สุดไปหายากที่สุด คือ 1) วิสัยทัศน์และพันธกิจ (Vision & Missions) 2) กลยุทธ์ (Strategies)3) โครงสร้าง (Structure) 4) เทคโนโลยี (Technologies)5) กระบวนการและระบบ (Process & System) 6) วัฒนธรรมองค์กร (Organizational Culture)
จะเห็นได้ว่าเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ยากที่สุด คือ วัฒนธรรมองค์กรซึ่งจะต้องใช้การมีส่วนร่วม การสื่อสาร การโน้มน้าว และที่สำคัญ คือ ทำอย่างไรให้การเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนากลายมาเป็นวัฒนธรรมขององค์กร หรือที่เรียกว่า “change as a culture” เพื่อการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง
และสุดท้าย ด้วยกระบวนการของ Chira Way จึงเป็นการระดมความคิดเพื่อตอบโจทย์การค้นหาจุดแข็งและจุดอ่อนเพื่อพัฒนา “กรุงเทพมหานคร -มหานครแห่งการเรียนรู้ และนวัตกรรม
สุขสภาวะ” พร้อมทั้งวิเคราะห์เพื่อค้นหาจุดแข็งและจุดอ่อนเรื่อง “คน” เรื่องการมีส่วนร่วม และเรื่องแรงจูงใจ ซึ่งล้วนเป็นหัวใจที่สำคัญของการบริหารการเปลี่ยนแปลง
และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวอย่างส่วนหนึ่งของห้องเรียนผู้นำในแบบของ Chira Way ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณค่าของผู้เรียน ด้วยการประสานมุมมองและประสบการณ์จากกูรูและผู้รู้จริงในแต่ละเรื่อง ผสมผสานกับการออกแบบโจทย์ที่มองจากความจริงและตรงประเด็น ให้เครื่องมือในการเรียนรู้เป็นเครื่องนำทางการคิดและการพัฒนา จุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจให้เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยหวังว่า.. ไม่ว่าในอนาคตจะต้องเจอโจทย์ที่ยากสักแค่ไหน “ผู้นำ” จากห้องเรียนผู้นำของเราจะสามารถผ่านไปสู่ความสำเร็จได้ และนี่ก็คือ “Learning How to Learn”
จีระ หงส์ลดารมภ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี