เราเห็นการช่วยเหลือเกษตรกรในลักษณะจ่ายเงินอุดหนุนช่วยเหลือโดยตรง เข้าบัญชีของเกษตรกร
ไม่ว่าจะเป็น ชาวนา ชาวสวนยางพารา ชาวสวนปาล์มน้ำมัน ฯลฯ
การช่วยเหลือแบบนี้สำหรับการเมืองประชาธิปไตยแบบที่เป็นอยู่ในบ้านเรา เกษตรกรจะได้รับประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าการไปทำโครงการจัดซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์ หรือการรับจำนำสินค้าเกษตร ซึ่งมักเกิดการรั่วไหล หรือทุจริตโกงกินในขั้นตอนการจัดซื้อ หรือการระบายสินค้าเกษตรจากสต๊อกของรัฐบาล
ใครอาจจะลืมไปแล้ว สำหรับกรณีศึกษา คดีทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ฯ
ขอสรุปไว้เป็นบทเรียน ดังนี้
1. กรณีทุจริตจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ 407 ล้านบาท เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ พรรคไทยรักไทย ช่วงปี 2544 - 2545
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก คนละ 6 ปี นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีต สส.ปทุมธานี และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และนายวิทยา เทียนทอง อดีตเลขานุการ รมว.เกษตรฯ อดีต สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย
ความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต
2. ทำไมนักการเมือง ระดับนโยบาย ถึงติดคุก?
คำพิพากษาชี้ชัดว่า มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงให้เห็นถึงข้อพิรุธหลายประการว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในครั้งนี้มีความผิดปกติส่อไปในทางไม่สุจริต มีการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร ในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ ยังปรากฏว่า มีการร้องเรียนจากหลายฝ่ายว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน ฯลฯ แล้วชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยฯ ก็ไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วนได้อย่างแท้จริง จนต่อมามีคำพิพากษาวินิจฉัยด้วยว่า ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยฯ เป็นฝ่ายผิดสัญญา โดยมีการปฏิบัติที่ส่อไปในทางไม่สุจริต
ข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงบ่งชี้ว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ มีความผิดปกติมาตั้งแต่ต้น
กรณีนี้ นักการเมือง ระดับนโยบาย จะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้
2. โครงการนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ ต้องการความช่วยเหลือเป็นปุ๋ยเคมี แต่มีการเปลี่ยนแปลงความช่วยเหลือเกษตรกรเป็นปุ๋ยอินทรีย์
ทำการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งเดียว เป็นจำนวนมากถึง 140,637,880 กิโลกรัม
ด้วยการรวบรวมความช่วยเหลือหลายภัย มาดำเนินการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ในคราวเดียวที่ส่วนกลาง
ประกอบด้วย ภัยจากกรณีฝนทิ้งช่วง อุทกภัยจากร่องความกดอากาศต่ำ อุทกภัยจากพายุดีเปรสชั่นอุซางิ และภัยแล้งปี 2545 ทำให้ต้องมีการจัดซื้อจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขัดต่อข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3. การรวมจัดซื้อที่ส่วนกลางจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตที่จะเข้าเสนอราคาจะต้องวางเงินประกันตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ ร้อยละห้า
การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้ ต้องวางหลักประกันซอง เป็นเงิน 20 ล้านบาทเศษ ทำให้ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการที่มีความพร้อมด้านการเงินสูงเท่านั้น ที่สามารถเข้าเสนอราคาได้ ส่งผลให้มีผู้เข้าแข่งขันน้อยราย
โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้สอบปากคำผู้ประกอบการที่ซื้อซองประกาศประกวดหลายรายให้ถ้อยคำว่า ไม่สามารถยื่นเสนอราคาได้ เพราะเหตุไม่สามารถหาหลักประกันซองได้
4. การรวมจัดซื้อปริมาณมากเช่นนี้ รวมที่ส่วนกลาง ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตในขั้นตอนหรือกระบวนการจัดซื้อได้ง่าย ข้ออ้างว่า การจัดซื้อที่ส่วนกลางเพราะต้องส่งปุ๋ยอินทรีย์ไปตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิชาการเกษตรและกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งตั้งอยู่ส่วนกลาง และเพื่อจะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ฟังไม่ขึ้น
เพราะการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้ความว่า มีหน่วยราชการในภูมิภาคที่สามารถตรวจวิเคราะห์ปุ๋ยอินทรีย์ ตามเงื่อนไขแนบท้ายประกาศประกวดราคาได้ 3 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด 1 แห่ง จังหวัดขอนแก่น 1 แห่ง และในจังหวัดนราธิวาส 1 แห่ง โดยแหล่งผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่จะตรวจวิเคราะห์ส่วนมากก็กระจายอยู่ตามต่างจังหวัด การกระจายให้หน่วยงานของกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้จัดซื้อ ย่อมเป็นประโยชน์มากกว่า
5. มีการกำหนดให้ผู้มีสิทธิเสนอราคา จะต้องมีผลงานการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภายใต้สัญญาเดียวในวงเงินไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ทำให้มีผู้ผลิตปุ๋ยทั้งระบบที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ที่กำหนดเพียง 7 ราย จึงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อจำกัดผู้มีสิทธิเสนอราคาให้น้อยลง
นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดว่า ผู้เสนอราคาต้องมีสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเดียวกับที่ยื่นซองเสนอราคาจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนปุ๋ยอินทรีย์ที่จะจัดซื้อทั้งหมด แต่ในการไต่สวนได้ข้อเท็จจริงว่า ไม่มีผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์รายใดมีจำนวนสต๊อกปุ๋ยอินทรีย์มากถึงร้อยละ 50 หรือ 70,318,940 กิโลกรัม แม้แต่รายเดียว จึงเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอราคาที่ไม่สมเหตุผล และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
6. ฮั้ว
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า กระบวนการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวนี้ มีความผิดปกติและส่อพิรุธหลายประการ ทั้งๆ ที่ กรมส่งเสริมการเกษตรเคยจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์มาหลายครั้ง ย่อมมีข้อมูลของผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มเติมย่อมสามารถขอจากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานมีหน้าที่รับแจ้งสถานที่ผลิตจากผู้ผลิตตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตามฟ้องได้มีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
7. นักการเมืองรู้ หรือควรรู้ว่ามีการฮั้ว แล้วประวิงเวลาจนเซ็นต์สัญญา
ศาลฎีกาฯ ระบุข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2545 ระหว่างที่กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ นายวิชัย ชัยจิตวณิชกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี มีหนังสือถึงนายชูชีพ ผ่านนายเจริญ จรรย์โกมล ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า การประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร มีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางทุจริต
นายชูชีพสั่งการให้นายเจริญดำเนินการตรวจสอบและมีการจัดประชุม ที่ประชุมอภิปรายเกี่ยวกับเงื่อนไขในการประกวดราคาจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์หลายประการ เช่น ราคาที่มีผู้เสนอราคาสูงกว่าความเป็นจริงมากทำให้สงสัยว่า จะมีการสมยอมราคา การรวมจัดซื้อปริมาณมากที่ส่วนกลาง ทำให้ผู้เสนอราคารวมค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และต้องมีเงินประกันสูง ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมเสนอราคาน้อยราย ทำให้รัฐได้สินค้าในราคาสูงเกินจริง แต่หลังจากการประชุม นายเจริญกลับไม่ได้มีการรายงานผลการประชุมให้นายชูชีพทราบ และไม่ได้มีการพูดคุยกับนายชูชีพ ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของรัฐมนตรีผู้มีอำนาจมีหน้าที่กำกับดูแล ที่มีการกล่าวหาว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่งบประมาณของกรมส่งเสริมการเกษตรและเกษตรกรผู้ประสบภัย พฤติการณ์ของนายชูชีพ (จำเลยที่ 1) ที่ละเลยการตรวจสอบการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์นับเป็นข้อพิรุธ
ข้อเท็จจริงยังได้ความอีกว่า ในวันที่ 13 สิงหาคม 2545 คณะอนุกรรมาธิการฯ ในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรไปชี้แจงเกี่ยวกับการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ และได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึงนายชูชีพ ผ่านนายวิทยา (จำเลยที่ 2) ขอให้ระงับการทำสัญญาซื้อปุ๋ยอินทรีย์ เนื่องจากคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นฯ น่าเชื่อว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์มีข้อพิรุธ และไม่เหมาะสมหลายประการ ปรากฏว่า นายชูชีพเพียงแต่เรียกเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ถูกร้องเรียน มาชี้แจงเท่านั้น แทนที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการคนกลางมาทำการตรวจสอบเพื่อให้ได้ความกระจ่างชัด
ต่อมา เมื่อปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำบันทึกข้อความ ลงวันที่ 10 กันยายน 2545 ถึงนายชูชีพ ผ่านนายวิทยา อ้างถึงคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ในวันรุ่งขึ้น นายวิทยาให้เจ้าหน้าที่ประสานงานไปยังสภาผู้แทนราษฎร จนได้โทรสารหนังสือของนายสุพล ฟองงาม ประธานอนุกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ลงวันที่ 11 กันยายน 2545 ถึงนายวิทยา แล้วนายวิทยารีบเกษียณสั่งในบันทึกข้อความของปลัดฯ ว่าบัดนี้ คณะอนุกรรมาธิการฯ รับทราบแล้ว จึงเห็นควรรับราคา นายชูชีพก็ลงนามเห็นชอบและอนุมัติรับราคาในวันเดียวกัน
พฤติการณ์ดังกล่าว ศาลชี้ชัดว่าจำเลยทั้งสองบิดเบือนข้อเท็จจริง และเร่งรีบในการอนุมัติรับราคาการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ครั้งนี้
ต่อมา เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2545 นายสุพล ฟองงาม มีหนังสือด่วนที่สุด ว่าการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวน่าจะไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม จึงขอให้กรมส่งเสริมการเกษตรระงับการลงนามทำสัญญาไว้ก่อนเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรของรัฐ โดยสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2545 แต่นายชูชีพลงนามรับทราบเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 อันเป็นเวลาหลังจากกรมส่งเสริมการเกษตรทำสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์กับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด แล้ว
ศาลเห็นว่า พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงโดยแจ้งชัดว่า จำเลยทั้งสองประวิงเวลาให้ล่าช้า จนกรมส่งเสริมการเกษตรลงนามในสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์แล้ว จึงมาลงนามรับทราบ
นายชูชีพและนายวิทยา มีความผิดตามกฎหมายฮั้ว และกฎหมายอาญา มาตรา 157
ศาลให้ลงโทษตามกฎหมายฮั้ว จำคุกคนละ 6 ปี
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี