เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บทความของผมได้นำเสนอเรื่อง “Learning How to Learn ในแบบ Chira Way” ซึ่งทีม Chira Academy ได้นำสาระความรู้และเรื่องราวของการเรียนรู้แบบเข้มข้น 5 วันที่ส่วนหนึ่งของหลักสูตร “นักบริหารสุขภาวะเขตเมือง” รุ่นที่ 1 เพื่อพัฒนาข้าราชการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นแพทย์และพยาบาล จำนวน 30 คน ซึ่งผมเรียกว่าเป็น “ห้องเรียนผู้นำ” มาแบ่งปันแก่ท่านผู้อ่าน
ในสัปดาห์นี้ยังคงมีประเด็นน่าสนใจที่จะนำเสนอต่อเนื่องเพราะนอกจากการตั้งโจทย์หัวข้อวิชาหลัก 5 เรื่องที่นำเสนอไปครั้งที่แล้ว ยังมีโจทย์ที่ผู้นำในรุ่นนี้ต้องทำ คือ การพัฒนาผลงานเชิงการวิจัย เรื่อง “การพัฒนารูปแบบชุมชนสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม” โดยแบ่งการศึกษาเป็น 3 กลุ่มตามลักษณะที่อยู่อาศัย คือ 1) บ้านเดี่ยว 2) ทาวน์เฮ้าส์ และ 3) ชุมชนแออัด เพื่อนำไปสู่การทำงานในพื้นที่ต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมน่าชื่นชมและเป็นประโยชน์มาก เพราะเป็นการเปลี่ยนจากความรู้และความคิดในห้องเรียนมาสู่การลงมือทำ อย่างที่ผมพูดอยู่เสมอว่า “Turn knowledge &ideas into action” และจะต้องพยายามทำให้สำเร็จ หรือ “Execution”
เปลี่ยนความรู้และความคิดมาสู่การปฏิบัติและลงมือทำให้สำเร็จ
(Turn knowledge and ideas into action & Execution)
วราพร ชูภักดี
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้รับมอบโล่รางวัลเกียรติคุณในสาขาบุคคลต้นแบบดีเด่น ประเภทผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ในรางวัลเกียรติคุณระดับนานาชาติ (Naga Awards) ครั้งที่ 1 จากพลเอกอภิชาติ เทียบศรไชย ราชองครักษ์ จัดโดยสมาคมสื่อมวลชนสัมพันธ์แห่งประเทศไทยและสภาสื่อมวลชนแห่งประเทศเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารและความรู้เกิดขึ้นแบบพรั่งพรู แบบที่กูรูหลายๆ คนพูดถึงว่า “Information overload - Knowledge overflow” หลักสูตรฝึกอบรมเกิดขึ้นแบบดอกเห็ด ทั้งเรียนออนไลน์ เรียนแบบห้องเรียน (Classroom)และไม่ใช่แบบห้องเรียน(Non - Classroom) ในรูปแบบต่างๆ แต่คำถามที่น่าคิด คือ การเปลี่ยนความรู้และความคิดมาสู่การปฏิบัติและลงมือทำให้สำเร็จมีมากน้อยเพียงใดในสังคมของเรา
และนี่ก็เป็นโจทย์สำคัญที่หลายๆ หน่วยงาน หลายๆ องค์กรต่างก็กำลังคิดและพยายามหาทางพัฒนา เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ทางสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีพยายามให้
การเรียนรู้และความรู้ได้นำมาสู่การศึกษาเชิงงานวิจัยเพื่อจะสามารถนำไปสู่การลงมือทำในพื้นที่ได้จริง กรณีศึกษาของสำนักอนามัยฯ คือ การตั้งโจทย์ให้ผู้เรียนพัฒนาผลงานเชิงการวิจัย “การพัฒนารูปแบบชุมชนสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม” ซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่สำคัญทางด้านสุขภาพและสังคมของคนไทยโดยแบ่งการศึกษาเป็น 3 กลุ่มตามลักษณะที่อยู่อาศัย คือ 1) บ้านเดี่ยว2) ทาวน์เฮ้าส์ และ 3) ชุมชนแออัด เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนในทุกๆ กลุ่มได้ และใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ Chira Way เป็นแนวทางการพัฒนาจากความรู้และความคิดดีๆ ในห้องเรียนผู้นำไปสู่แนวทางการปฏิบัติและการลงมือทำให้สำเร็จ
สาระสำคัญจากการร่วมระดมความคิดเพื่อตอบโจทย์การพัฒนารูปแบบชุมชนสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อมมีความคิดดีๆ ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
- ทฤษฎี 2 R’s คือ การมองความจริง (Reality) และตรงประเด็น (Relevance) เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการคิดและลงมือทำ โดยเริ่มจากการสำรวจภาวะผู้สูงอายุ ความสามารถในการ
ประกอบชีวิตในประจำวัน การคัดกรองภาวะสมองเสื่อมการจัดโครงการให้เหมาะสมกับชุมชนโดยอาจเริ่มจากหน่วยเล็กที่สุดในชุมชนให้เป็นผู้ริเริ่มและมีส่วนร่วมในโครงการ ต้องระเบิดจากภายใน และมองการทำงานอย่างยั่งยืน คัดเลือกอาสาสมัครในชุมชนทำงานร่วมกับชุมชน
- แผนภูมิ HR Architectureช่วยให้การวิเคราะห์แนวทางในการทำงานมีความครอบคลุมปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญและชัดเจนมากขึ้น คือ ลักษณะของที่อยู่อาศัย 3 แบบ จะต้องวิเคราะห์ตั้งแต่บทบาทครอบครัว โภชนาการ สุขภาพ การศึกษา ศาสนา และสื่อ และที่สำคัญคือต้องพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ เช่น กลุ่มที่อยู่ชุมชนแออัดมีศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน กลุ่มที่อยู่ทาวน์เฮ้าส์อาจมีส่วนกลางเล็กๆ และกลุ่มที่อยู่บ้านเดี่ยวอาจเป็นสโมสร มีการใช้ระบบ IT เพื่อการเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นการสร้างสังคมการเรียนรู้และจิตสาธารณะ ต้องทำให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน วัดผลได้ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
ขอขอบคุณคุณวัชระ จิรังบุญกุล และคณะจากบริษัท สี่พระยาก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเป็นลูกศิษย์สมัยที่เรียนกับผมเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เกียรติผมได้เข้าไปปรึกษาหารือในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในบริษัท สี่พระยาก่อสร้าง จำกัด
- ตัวอย่างของการทำงานในพื้นที่สำหรับกลุ่มผู้อยู่อาศัยแบบบ้านเดี่ยว ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบ คือ การรวมกลุ่มยังไม่เข้มแข็งและไม่ต่อเนื่อง ด้วยมีวิถีชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ ขาดผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งขาดสถานที่ทำกิจกรรมร่วมกันลักษณะของกิจกรรมที่ผ่านมายังไม่ตอบโจทย์ผลประโยชน์และความสนใจของคนในชุมชน โดยจากกระบวนการเรียนรู้จึงได้มองเห็นทางออกและแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ดังนี้
1) คัดเลือกผู้นำชุมชนแต่ละกลุ่มต่างๆ ที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะดำเนินการได้
2) หาสถานที่และกิจกรรมให้ชัดเจนเข้าถึงง่าย อาทิ ลานชุมชน ลานวัด สนามกีฬา
3) ให้ประชาชนมีสิทธิเลือกกิจกรรมในการดูแลกิจกรรมสุขภาพตนเอง อย่างเช่น มีลีลาศ โยคะ รำวง ฯลฯ
4) มีแบบอย่างที่ดี เป็นบุคคลต้นแบบที่มีเรื่องสุขภาพทั้งกาย จิต และสังคม เป็นต้น
- ตัวอย่างของการทำงานในพื้นที่สำหรับกลุ่มผู้อยู่อาศัยแบบชุมชนแออัดปัญหาส่วนใหญ่ที่พบ คือ ขาดการมีส่วนร่วม เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในชุมชนมีรายได้น้อย ต้องใช้เวลาช่วยใหญ่ทำงานหาเลี้ยงชีพ มีภาระครอบครัวรัดตัว แทบไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ และยังขาดความรู้โดยจากกระบวนการเรียนรู้จึงได้มองเห็นทางออกและแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ดังนี้
1) การส่งเสริมอาชีพ มีวิสาหกิจชุมชน SMEs ชุมชน
2) จัดกิจกรรมพัฒนาและส่งเสริมความรู้อย่างต่อเนื่อง อาทิ การดูแลสุขภาพ
3) ส่งเสริมการจัดตั้งร้านอาหารสุขภาพในชุมชน
4) สนับสนุนชุมชนในการจัดตั้งกลุ่มสวัสดิการต่างๆ เช่น สหกรณ์ สถานดูแลผู้สูงอายุและเด็กในชุมชน
5) การกระตุ้นการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว เป็นต้น
- การลงมือทำงานร่วมกับชุมชนที่ได้ผล ผู้นำจะต้องมีทักษะที่หลากหลาย (Multi skill) ต้องมีความสามารถในการพัฒนาเครือข่ายและทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้ สามารถสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Sense of Belonging)และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ สื่อสารและการประชาสัมพันธ์
อย่างไรก็ดี ความคิดๆ เหล่านี้ จะไม่มีทางสำเร็จได้หากไม่การนำมาลงมือทำให้เกิดความสำเร็จ ซึ่งจะต้องเอาชนะอุปสรรคมากมายและ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้ถ่ายทอดเคล็ดลับและประสบการณ์ในการเอาชนะอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จซึ่งได้ทำมาตลอดชีวิตการทำงานดังนี้
1. มีความมั่นใจ (Confidence)
2. มีความเข้าใจอนาคต (Understanding Future)
3. มีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ (Learning Culture)
4. มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
5. มีเครือข่าย (Networking)
6. เริ่มจาก ชนะเล็กๆ (Win step by step)
7. ทำต่อเนื่อง ต่อเนื่อง และต่อเนื่อง แบบ 3 ต. (Keep doing and continuous improving)
8. ผลประโยชน์ต้องกระจายทุกกลุ่ม (Share benefits)
9. สร้างทีมเวิร์กที่มีความหลากหลาย (Teamwork in diversity)
ด้วยหลักคิดของการจัดการเรียนรู้ในยุคใหม่ ที่ผลสำเร็จวัดกันที่คุณค่าใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อองค์กร เพื่อสังคม กรณีศึกษาของสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ที่นำเสนอในครั้งนี้ได้สะท้อนภาพของแนวทางการพัฒนาคุณค่าของงานและการเรียนรู้ที่มีประโยชน์ ผนวกกับยุทธวิธีในการเอาชนะอุปสรรคในแบบ Chira Way หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นแนวทางช่วยให้ท่านผู้อ่าน “เปลี่ยนความรู้และความคิดมาสู่การปฏิบัติและลงมือทำให้สำเร็จ” ได้
จีระ หงส์ลดารมภ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี