พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 4-6พฤษภาคมนี้ ซึ่งพระมหากษัตริย์ที่จะขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ มีขั้นตอนการเตรียมพิธีจะต้องมีการตักน้ำจากแหล่งสำคัญสำหรับนำมาเป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษกและเพื่อทำน้ำอภิเษกก่อนที่จะนำไปประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งน้ำที่นำมาจะต้องมีความพิเศษกว่าน้ำธรรมดาทั่วไป
โดยตามตำราโบราณของพราหมณ์นั้นจะต้องเป็นน้ำที่มาจาก “ปัญจมหานที” ที่เป็นแม่น้ำสายสำคัญ 5 สายในชมพูทวีป ได้แก่ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมนา แม่น้ำมทิ แม่น้ำอจิรวดี และแม่น้ำสรภู โดยน้ำในแม่น้ำทั้ง 5 จะไหลมาจากเขาไกรลาส ซึ่งศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และที่สถิตของพระอิศวรหรือพระศิวะ จากหลักฐานการใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์มาใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก็ปรากฏในหลักศิลาจารึกวัดศรีชุมของพญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัยที่ได้กล่าวถึงพ่อขุนผาเมืองอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เป็นผู้ปกครองสุโขทัย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏหลักฐานการใช้น้ำสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจากน้ำในสระเกษ สระแก้ว สระคา สระยมนาจากแขวงเมืองสุพรรณบุรี เท่านั้น ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นอกจากจะใช้น้ำจากแหล่งเดียวกันกับในสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วนำน้ำจากแม่น้ำสายสำคัญอีก 5 สาย เรียกกันว่า เบญจสุทธิคงคาซึ่งตักน้ำมาจากเมืองต่างๆ คือ
น้ำในแม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ต.ท่าไชย อ.เมือง จ. เพชรบุรีน้ำในแม่น้ำราชบุรี ตักที่ตำบลดาวดึงส์ จังหวัดสมุทรสงคราม น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่บางแก้ว จังหวัดอ่างทอง น้ำในแม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ จังหวัดสระบุรี น้ำในแม่น้ำบางประกง ตักที่ตำบลพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก โดยน้ำแต่ละแห่งจะตั้งพิธีเสกที่ปูชนียสถานสำคัญแห่งเมืองนั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปี 2411 ก็ใช้น้ำเบญจสุทธิคงคา และน้ำในสระ 4 สระ เมืองสุพรรณบุรี เป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษกและน้ำอภิเษกเช่นเดียวกับเคยใช้ในรัชกาลก่อนๆ ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปอินเดีย ในปี 2415 ทรงได้นำน้ำปัญจมหานทีที่มีการบันทึกในตำราของพราหมณ์ กลับมายังสยามด้วย ปี 2416 เมื่อพระองค์ได้ทรงกระทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 น้ำสรงมุรธาภิเษก จึงเพิ่มน้ำปัญจมหานทีลงในน้ำเบญจสุทธิคงคาและน้ำในสระทั้ง 4 ของเมืองสุพรรณบุรีด้วย
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อปี 2453 ทรงใช้น้ำมุรธาภิเษก และน้ำอภิเษกจากแหล่งเดียวกันกับรัชกาลที่ 5 ต่อมาเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชในปี 2454 นอกจากใช้น้ำเบญจคงคาน้ำปัญจมหานทีและน้ำทั้ง 4 สระจากสุพรรณบุรียังได้ตักน้ำจากแหล่งอื่นๆ และแม่น้ำตามมณฑลต่างๆ ที่ถือว่าเป็นแหล่งสำคัญและเป็นสิริมงคล มาตั้งทำพิธีเสกน้ำพุทธมนต์ที่พระมหาเจดียสถานที่เป็นหลักพระมหานครโบราณ 7 แห่งคือ
แม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ เสกน้ำที่พระพุทธบาทโดยใช้น้ำสรงรอยพระพุทธบาททำพิธีเสกน้ำด้วย โดยถือว่าพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เป็นปูชนียสานที่สำคัญ น้ำที่ทะเลแก้วและสระแก้ว พิษณุโลก และน้ำจากสระสองห้อง ทำพิธีที่พระวิหาร พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลกเป็นปูชยสถานที่สำคัญของเมืองฝ่ายเหนือ น้ำที่กระพังทอง กระพังเงิน กระพังช้างเผือก กระพังไพยสีโซกชมพู่ น้ำบ่อแก้ว น้ำบ่อทองเมืองสวรรคโลก ไปทำพิธีในวิหารวัดพระมหาธาตุ เมืองสวรรคโลก ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญมาแต่ครั้งสมเด็จพระร่วงเจ้าในสมัยสุโขทัย
ตักน้ำในแม่น้ำนครชัยศรี ที่ตำบลบางแก้ว น้ำกลางหาว บนองค์พระปฐมเจดีย์ น้ำสระพระปฐมเจดีย์ น้ำสระน้ำจันทร์ ทำพิธีที่พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญตั้งแต่สมัยทวารวดี น้ำที่บ่อวัดหน้าพระลาน บ่อวัดเสมาไชย บ่อวัดเสมาเมืองบ่อวัดประตูขาว ห้วยเขามหาชัย และน้ำบ่อปากนาคราชไปตั้งทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุ นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญ น้ำบ่อทิพย์ นครลำพูนตั้งทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุหริภุญไชย ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญในหัวเมืองฝ่ายเหนือ คือ นครหริภุญไชย นครเขลางค์ นครเชียงแสน นครเชียงราย นครพระเยา และนครเชียงใหม่
น้ำที่บ่อวัดพระธาตุพนม ทำพิธีเสกน้ำที่วัดพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม มณฑลอุดรนอกจากนี้ได้ตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปตั้งทำพิธีเสกน้ำวัดสำคัญในมณฑลต่างๆ อีก 10 มณฑลคือ วัดบรมธาตุ และวัดธรรมามูล จังหวัดชัยนาท มณฑลนครสวรรค์ น้ำสระมหาชัย น้ำสระหินดาษทำพิธีเสกน้ำที่วัดยโสธร เมืองฉะเชิงเทรา มณฑลปราจีนบุรี น้ำสระแก้ว น้ำสระขวัญ น้ำธารปราสาทน้ำสระปักธงชัย ทำพิธีเสกน้ำที่วัดพระนารายณ์มหาราช จังหวัดนครราชสีมา มณฑลนครราชสีมา น้ำท่าหอชัย น้ำกุดศรีมังคละ น้ำกุดพระฤาชัย ทำพิธีเสกน้ำที่วัดศรีทอง เมืองอุบลราชธานี มณฑลอีสาน น้ำสระแก้ว น้ำธารนารายณ์ ทำพิธีเสกน้ำที่วัดพลับ เมืองจันทบุรี มณฑลจันทบุรี ตักน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญที่อำเภอต่างๆ มาทำพิธีที่วัดพระธาตุ เมืองไชยา มลฑลชุมพร น้ำสระ
วังพลายบัว น้ำบ่อทอง น้ำบ่อไชย น้ำบ่อฤๅษีน้ำสะแก้ว ทำพิธีเสกน้ำที่วัดตานีนรสโมสร เมืองตานีมณฑลปัตตานี น้ำเขาโต๊ะแซะ น้ำเขาต้นไทรทำพิธีเสกน้ำที่วัดพระทอง เมืองถลาง มณฑลภูเก็ตวัดมหาธาตุ เมืองเพชรบูรณ์ มณฑลเพชรบูรณ์ วัดพระมหาธาตุ เมืองเพชรบุรี มณฑลราชบุรี
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ตั้งพิธีทำน้ำอภิเษกที่หัวเมืองมณฑลต่างๆ ซึ่งสถานที่ตั้งทำน้ำอภิเษกในรัชกาลนี้ใช้สถานที่เดียวกับในสมัยรัชกาลที่ 6 เพียงแต่เปลี่ยนจากวัดมหาธาตุเมืองเพชรบูรณ์ มาตั้งที่พระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ และเพิ่มอีกแห่งที่ พระลานชัย จังหวัดร้อยเอ็ด และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้นำน้ำตามมณฑลต่างๆในสมัยรัชกาลที่ 7 แต่เปลี่ยนสถานที่จากพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ มาตักน้ำบ่อแก้ว และทำพิธีเสกน้ำที่พระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญในจังหวัดน่านแทน
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี