เกมการเมืองระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากเขมรรุกล้ำอธิปไตยไทยเพื่อต้องการยึดดินแดนไทยนั้น..ต้องถือว่าเขมรก้าวล้ำไปกว่าไทยหลายขุม..และเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันแพรวพราว
ปัญหานี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเกิดหลังเหตุปะทะที่“ช่องบก”..บริเวณสามเหลี่ยมมรกต..อำเภอน้ำยืน..จังหวัดอุบลราชานี..เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา..แต่เขมรซึ่งตามบันทึกทางประวัติศาสตร์..เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ไทยไม่สามารถไว้วางใจได้อย่างสนิทใจเลยนั้น..จ้องและวางแผนที่จะยึดดินแดนไทยในหลายๆ จุดมานานแล้ว
เขมรซึ่งบรรพบุรุษของไทยเปรียบเปรยว่า..เหมือน“งู่เห่า”ที่เลี้ยงไม่เชื่อง..ต้องการจะยึดทั้ง“ช่องบก”..และ“ปราสาทตาเมือนธม” ที่ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก..อำเภอพนมดงรัก..จังหวัดสุรินทร์ อันเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน..ที่ประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง..เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก..คือ..ปราสาทตาเมือนธม..ปราสาทตาเมือนโต๊ด..และปราสาทตาเมือน
โดยที่ปราสาทตาเมือนธมแห่งนี้..ได้ขึ้นบัญชีเป็น“โบราณสถานของไทย..ตั้งแต่ปี 2478..ก่อนที่เขมรจะได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส..ในปี 2496..และได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศเอกราชอย่างเป็นทางการจากองค์การสหประชาชาติในปี 2498..จึงเท่ากับว่า“ปราสาทตาเมือนธม”เป็นโบราณสถานของไทย..ก่อนที่ “ประเทศกัมพูชา”จะมีสถานะเป็นรัฐเอกราชอย่างเป็นทางการถึง 20 ปี
อย่างไรก็ดี..ก่อนจะเกิดเหตุที่“ช่องบก”อันทำให้ทหารฝ่ายกัมพูชาเสียชีวิตไป 1 นาย..และบาดเจ็บจำนวนหนึ่งนั้น..เขมรเริ่มเปิดฉากยั่วยุหาเรื่องไทยให้เป็นเรื่อง..เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา..ที่ปราสาทตาเมือนธม..เพื่อจะให้กลายเป็นข้อพิพาทขึ้นสู่“ศาลโลก”..จากการที่“นายพลจัตวาเนี๊ยะ วงษ์”..หรือ พล.จ.เนี๊ยะ วงษ์..ผบ.พลน้อย.ร.42 ของกัมพูชา..นำคณะแม่บ้านจำนวน 25 คน..ขึ้นไปเยี่ยมชมปราสาทแห่งนี้..และได้มีการร่วมกันร้องเพลงชาติเขมรปลุกใจ
แต่ฝ่ายทหารไทยเห็นว่าไม่ถูกต้อง..ได้ขอให้หยุดร้อง..แต่ฝ่ายเขมรไม่ยอม..จึงเกิดการโต้เถียงและกระทบกระทั่งกัน..ถึงขนาดที่“นายพลจัตวาเนี๊ยะ วงษ์”..ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่พูดท้าทายออกมาว่า..“ถ้าจะยิงก็ยิง(กัน)”..และแม้ว่าเรื่องนี้จะจบแบบดูเหมือนว่า“แฮปปี้เอนดิ้ง”..โดยการ“จับมือ”กันของทหารในพื้นที่ทั้งสองฝ่าย..จากที่ได้มีการเคลียร์กันหลังจากนั้น..ซึ่งรัฐบาลไทยเชื่อว่าจบกันด้วยดี..เพราะเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างสองเกลอสหายรัก..คือ..อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร..นายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศไทย..กับ..“ฮุน เซน”..ผู้ทรงอำนาจแห่งเขมร ต่อสายคุยกัน แต่ขณะที่ฝ่ายเขมรตามข่าวที่ปรากฏในหน้าสื่อของกัมพูชานั้น..“ท่านนายพลเนี๊ยะ วงษ์”ได้กลายเป็น“ฮีโร่”..เรียกว่าเป็น“พระเอกขวัญใจ”ของประชาชนชาวกัมพูชาขึ้นมาทันทีทันใด
เหตุการณ์ที่“ช่องบก”ก็เช่นกัน,..“ทักษิณ ชินวัตร”สหายรักของ“ฮุน เซน”..ให้สัมภาษณ์ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568..ถัดจากวันเกิดเหตุปะทะที่“ช่องบก”เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมมาได้ 3 วัน..ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์หลังจากนายทหารระดับสูงฝ่ายไทยและเขมรได้ประชุมเจรจากัน.. โดยกล่าวว่า “น่าจะเคลียร์กันจบแล้ว..เพราะเนื่องจากว่าผู้ใหญ่ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดี..คุยกันรู้เรื่อง..และก็ทางทหารก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน..มันเป็นเรื่องกระทบกระทั่งในพื้นที่ของทหารชั้นผู้น้อย..ใครเคลมอย่างไรก็ให้ถอยออกไปเป็น ‘No Man's Land’..ไม่ต้องมีคนอยู่..มันก็จะไม่มีอะไรกระทบกระทั่ง”
อีกทั้ง..“ทักษิณ ชินวัตร”ยังพูดด้วยว่า..“รัฐบาลทั้งสองฝ่ายมีการพูดคุยกันตลอด..ผมกับสมเด็จฮุน เซน..พูดคุยกันเป็นประจำ..ขอให้ทุกฝ่ายอย่าเติมเชื้อไฟกันอีกเลย..ควรเตะตะกร้อร่วมกันมากกว่า”
พร้อมกันนั้นในวันเดียวกันกับที่“ทักษิณ ชินวัตร”ให้สัมภาษณ์..ทางด้าน“แพทองโพย”ผู้เป็นผู้บุตรสาว..ก็ให้สัมภาษณ์สื่อเหมือนคำพูดของบิดาไม่ผิดเพี้ยนว่า..“ตกลงกันได้แล้ว..ว่าทั้งสองฝ่ายอยากให้สงบทั้งคู่..เพราะฉะนั้น..ต้องมีการถอยทั้งคู่..ทั้งสองฝ่ายเลย..แต่ที่คุยกันไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”
ปรากฏว่าให้หลังจากนั้นอีก 3..วัน,..เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนเมื่อวานซืน..ฝ่ายเขมรโดยสภานิติบัญญัติ..และวุฒิสภา..ก็มีมติให้รัฐบาลกัมพูชา..โดย“ฮุน มาเนต”บุตรชายของ“ฮุน เซน”..ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำฝ่ายบริหาร...นำข้อพิพาทอันเนื่องมากจากเหตุการณ์“ช่องบก”..ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก
เรียกว่าเป็น“หนังละคนม้วน”..กับที่สองพ่อลูกฝ่ายไทยพูดว่า“จบแล้ว”..โดยเฉพาะจากถ้อยคำที่“ทักษิณ ชินวัตร”พูดว่า..“น่าจะเคลียร์กันจบแล้ว เพราะเนื่องจากว่าผู้ใหญ่ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดี..คุยกันรู้เรื่อง..และก็ทางทหารก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน..มันเป็นเรื่องกระทบกระทั่งในพื้นที่ของทหารชั้นผู้น้อย”
หันไปดูว่า“ฮุน เซน”คิดอย่างไรที่ว่า“หนังคนละม้วน”กับสหายรักที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”บอก..และว่า“คุยกันตลอด”..ซึ่งดูได้จากข้อความที่“ฮุน เซน”ได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ก..หลังจากฝ่ายนิติบัญญัติของกัมพูชามีมติให้“ฮุน มาเนต”นำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก
ทั้งนี้..“ฮุน เซน”ระบุโดยอ้างเหตุการณ์ที่“ช่องบก”ว่า..“การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาอย่างร้ายแรง..อีกทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน..ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลกัมพูชา..ในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนด้วยสันติวิธี..ผ่านช่องทางการทูตมาโดยตลอด”
อย่างไรก็ตาม..หลังจากเขมรเดินหน้า“เล่นใหญ่”จะนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก..ฝ่ายไทยโดยนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”..ก็ได้แต่มุดหัวกบดานเงียบแบบไม่เกินคาด..คือนิสัยถาวรของ“ทักษิณ”..หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า“สันดาน”นั้น..เก่งแต่เรื่องคุยโม้โอ้อวด..แต่อะไรที่จะเข้าตัว“หุบปากเงียบ”
ลูกสาวที่ชื่อ“แพทองโพย”ผู้สืบสันดานก็เหมือนกัน..ที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมวานนี้..ชิ่งหนีไม่ยอมให้ผู้สื่ข่าวสัมภาษณ์..มิหนำซ้ำยังเลื่อนจุดขึ้นรถและเดินหลบออกอีกทางหนึ่ง..ซึ่งคล้ายกับที่เคยวิ่งโกยแน่บหนีผู้สื่อข่าวเหมือนเด็กๆ..ที่ทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว..เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567..ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี
“อุ๊งอิ๊งค์”หมดรูปนายกรัฐมนตรีไทยจริงๆ..เป็นภาพที่ไร้ซึ่ง“ภาวะผู้นำ”..และทางที่ดีทั้งพ่อและลูกสาวควรจะไปได้แล้ว..ก่อนบ้านเมืองจะวิบัติฉิบหาย
หรือว่าต้องรอให้ประชาชนลุกขึ้นมาขับไล่เสียก่อนถึงจะยอมไป !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี