ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาจำคุกแกนนำพันธมิตรฯ 6 คน ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสุริยะใส กตะศิลา (อดีตผู้ประสานงาน พธม.)
ผมได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมแกนนำพันธมิตรบางคนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ทราบว่า แกนนำพันธมิตรทุกคนมีสุขภาพจิตที่เข้มแข็ง น้อมรับคำตัดสินของศาล สภาพห้องขังแม้จะแออัด เพราะต้องนอนรวมกันมากกว่า 20 คน แต่ก็สะอาดรับสภาพความเป็นอยู่ได้
ที่เป็นห่วงก็มีแต่พลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่อยู่ในวัย 83 ปี จะต้องนอนในที่มีแสงไฟและคนร่วมห้องที่อยู่ในสภาพไม่คุ้นเคย และเนื่องจากสูงอายุ ก็ทำให้อดเป็นห่วงเรื่องสุขภาพไม่ได้
คำถามที่มีในสมองของผมทันทีก็คือ สังคมและรัฐไทยเอาแกนนำพันธมิตรทั้ง 6 คนนี้มากักขังทำไม? สังคมได้ประโยชน์อะไร? จากการกักขังครั้งนี้
พอประมวลเหตุการณ์และข้อเท็จจริงได้ว่า
1. แกนนำพันธมิตรทั้ง 6 คน ได้ร่วมชุมนุมกับประชาชน ด้วยความเป็นห่วงบ้านเมืองที่ตกอยู่ในอำนาจของรัฐบาลที่เป็นเผด็จการโดยทุนสามานย์ตั้งแต่ปี 2548-2549
2. แกนนำพันธมิตรทั้ง 6 คน ได้ร่วมกับประชาชน ชุมนุมอย่างสงบ เพื่อกีดขวางการสืบทอดอำนาจของระบอบทักษิณ โดยตัวแทนเชิด และพยายามจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมและแก้ไขกฎหมายสำคัญให้แก่ผู้นำระบอบทักษิณที่ต้องโทษ จึงได้เข้าร่วมชุมนุมกดดันในบริเวณสนามหญ้าหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่ได้รุกล้ำเข้าไปยังรั้วของทำเนียบรัฐบาล
3. การชุมนุมยืดยาว 193 วัน ด้วยความสงบปราศจากอาวุธ แต่ก็ถูกผู้นำอาวุธสงคราม ระเบิด M79 และอื่นๆ เข้าทำร้ายผู้ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เสียชีวิตหลายคน
และเมื่อที่ชุมนุมส่วนหนึ่งยกขบวนไปชุมนุมปิดล้อมที่หน้ารัฐสภาในครั้งที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะแถลงนโยบาย เมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ก็ถูกเจ้าหน้าที่ยิงระเบิดแก๊สน้ำตา ทำให้ประชาชนแขนขาด ขาขาด ลูกตาหลุดจากเบ้า และเสียชีวิตหลายคน รวมทั้งน้องโบว์ที่ต้องมาเสียชีวิตในครั้งนี้ ผลจากการสลายการชุมนุม
4. แกนนำพันธมิตร 6 คน ถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ศาลอุทธรณ์พิพากษาลดโทษเหลือจำคุก 8 เดือน ไม่รอลงอาญา และได้มีถ้อยคำสำคัญระบุว่า แกนนำทั้ง 6 คน ไม่ได้กระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่กระทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
แกนนำพันธมิตรขอฎีกา ปรากฏว่า ศาลฎีกาพิจารณายืนตามศาลอุทธรณ์ และได้นำตัวไปกักขังที่เรือนจำ ตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา
ประโยชน์ของการจองจำ กักขัง
เป็นที่เข้าใจกันได้ว่า การนำผู้กระทำผิดมากักขัง มีหลักการเหตุผล คือ
1. เป็นการนำบุคคลที่มีพฤติกรรมที่เป็นอันตราย หรือพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายต่อสังคมมากักขัง เพื่อจะได้ไม่ทำร้ายสังคม
2. เป็นการนำตัวบุคคลที่กระทำผิดมาให้การศึกษา เพื่อปรับทัศนะและความรู้ความคิด และเมื่อปล่อยตัวในอนาคตจะได้ไม่ทำร้ายสังคม
3. เป็นการลงโทษ เพื่อข่มขู่บุคคลอื่น ไม่ให้กระทำผิดกฎหมายที่สังคมกำหนด
4. เป็นการแก้แค้น ลงโทษให้สาสม สะใจผู้คนที่ได้รับความเสียหาย หรือเกลียดชัง ซึ่งในข้อนี้ สังคมที่ได้พัฒนาขึ้น และค่อยๆ ลดความสำคัญลง
ตามที่พิจารณามาโดยลำดับ แกนนำพันธมิตรทั้ง 6 คน ได้ยอมรับคำพิพากษาตัดสินของศาล ยอมรับกระบวนการยุติธรรมและกฎเกณฑ์ของสังคม ไม่หลบหนีไปต่างประเทศ
แม้จะรู้และมั่นใจว่า ได้กระทำลงไปเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม โดยมีประชาชนในสังคมจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุม โดยแต่ละคนมีแต่การลงแรงและสูญเสียก็ตาม แกนนำและพันธมิตรต่างก้มหน้ารับชะตากรรม เพื่อรักษากติกาของบ้านเมือง
รัฐไทย สังคมไทย ควรจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนมากขึ้นหรือไม่ว่า คนที่ตลอดชีวิตปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่างพลตรีจำลอง ศรีเมือง และคณะ จะได้รับการดูแลเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนรุ่นต่อๆไป
สังคมได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน จากการนำตัวบุคคลเหล่านี้มากักขัง คล้ายกับอาชญากรสังคม
เมื่อผมได้เข้าไปเยี่ยมแกนนำพันธมิตรฯ ในเรือนจำครั้งนี้ จึงได้รู้ว่า มีนักโทษจำนวนมาก ต่างตั้งความหวัง ตั้งตาคอยพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่จะได้สร้างความรัก ความสามัคคี และความเมตตากับพสกนิกรทุกระดับชั้น
โดยเฉพาะผู้ที่เจตนาดีต่อสังคม
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี