ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการแม้จะออกมาแล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ใครจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งในด้านความชอบธรรมของการเป็นที่ 1 และในด้านการจับกลุ่มพรรคในสายตัวเอง เพราะว่าการจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้ มีทั้งเงื่อนไขที่ถูกผูกไว้ในกฎหมาย และเงื่อนไขจากการกำหนดพันธสัญญาก่อนเลือกตั้ง ประกอบกับคะแนนที่สูสีกันอย่างมาก ของพรรคขนาดใหญ่ 2 พรรคหลัก จึงทำให้อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ จนกว่าวันที่ กกต. จะประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็ยังไม่การันตีว่าจะเกิดขึ้นจริง ในวันที่เลือกนายกฯ และอาจจะมีบางทางเลือกเกิดขึ้น แม้จะมีการเลือกนายกฯแล้ว ก็มิอาจจะการันตีรัฐบาลนั้นได้ ซึ่งหลังจากนี้ต่อไปอีก 1 ปี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นับได้ว่าจะเป็นความท้าทายทางการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง
การชิงประกาศความเป็นที่ 1 หากจะนับจำนวนสส.มากที่สุดในสภาฯ ซึ่งตอนนี้คะแนนถือว่ายังไม่นิ่ง หากแต่เพื่อไทยได้ชิงอ้างอิงคะแนนดิบ ที่มีจำนวนสส.อยู่ที่ 137 คน ซึ่งในจำนวนนี้ ยังไม่นับรวมสส. ที่อาจถูกใบเหลือง ใบแดง จึงถือว่าเป็นการเดินเกมทางการเมืองมากกว่า เพื่อแข่งกับฝ่ายพลังประชารัฐที่อ้างว่า หากนับตามระบบกฎหมายในครั้งนี้ จะเน้นทุกคะแนนเสียงมีค่า ต้องยกให้พลังประชารัฐเป็นที่หนึ่ง ด้วยคะแนนโหวตจากประชาชนสูงสุด ถึง 7.9 ล้านคะแนน นำพรรคเพื่อไทยที่ได้ไป 7.4 ล้านคะแนน และนับเป็นการล้มแชมป์ครั้งแรกของพรรคเพื่อไทย ในรอบ 18 ปี ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ นำมาตอกย้ำว่า การเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว อย่างไม่อาจหวนกลับ ซึ่งเหตุผลนี้ กำลังจะใช้เป็นน้ำหนักในการรวบรวมพรรคร่วม มาฝั่งตัวเองได้ไม่น้อย เพื่อทานกับกระแสของฝั่งพรรคเพื่อไทย ที่ยกเอาเรื่องประชาธิปไตยและเผด็จการมาเป็นข้ออ้างสนับสนุนตัวเองตลอด ซึ่งผลดังกล่าวทำให้พรรคเพื่อไทยอ้างได้ยากขึ้น จึงพยายามเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องการทุจริตการเลือกตั้ง เพื่อเลี่ยงเรื่องที่คะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐมากกว่า
สำหรับเหตุผลและข้ออ้างของทั้งสองฝั่ง ในการประกาศความเป็นที่ 1 มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต่อการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ มากกว่าครั้งใดๆ และหากพรรคพลังประชารัฐทำสำเร็จ ก็จะลบภาพที่ถูกโจมตีเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตยได้พอสมควร สำหรับสูตรการจัดตั้งรัฐบาล ก็คงเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว พรรคแนวร่วมฝั่งเพื่อไทย ที่ประกาศชัดเจนว่า จะไม่ร่วมกับพลังประชารัฐ และกลายมาเป็นของตายของฝั่งเพื่อไทย ประกอบไปด้วย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ และพรรคพลังปวงชนไทย และตามที่พรรคเพื่อไทยกล่าวอ้าง จะมีพรรคเศรษฐกิจใหม่ ด้วยใช่หรือไม่? ซึ่งคงต้องรอจนกว่านายมิ่งขวัญจะออกมายืนยันด้วยตนเอง หากไม่เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ก็คงถูกมองว่าเป็นความพยายามปล่อยกระแส หรืออ้างถึงว่านายมิ่งขวัญตกลงแล้ว? ตามคำให้สัมภาษณ์ของนายมิ่งขวัญก่อนหน้า ซึ่งก็ไม่อาจยืนยันเป็นการตัดสินใจของนายมิ่งขวัญได้
อย่างไรก็ตาม หากไม่นับเศรษฐกิจใหม่ จะทำให้ฐานเสียงของพรรคฝั่งเพื่อไทยที่มีการลงนามแล้วเรียบร้อย จะมีเพียง 249 เสียงเท่านั้น และต่อให้นับรวมพรรคเศรษฐกิจใหม่เข้ากับพรรคเพื่อไทย จะได้จำนวน 255 เสียง โดยประมาณ ซึ่งแม้จะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ก็ก็ยังดูปริ่มน้ำ และยังขาดเสียง อีก 250 สว. ที่จะยกมือให้เป็นนายกฯ ในขณะที่พรรคฝั่งพลังประชารัฐ ซึ่งหากมีพรรคแนวร่วมอย่าง พรรครวมพลังประชาชาติ ก็จะมี 123 เสียง แต่ถึงแม้จะมีเสียง สว.หนุนหลังอยู่ 250 เสียง ก็ยังพบว่าไม่เพียงพอทั้งสองฝั่ง กล่าวคือ ฝั่งเพื่อไทยเองก็แม้จะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะโหวตเลือกนายกฯ เนื่องจากต้องใช้เสียงถึง376 เสียง ถึงจะเลือกนายกฯได้ โดยตอนนี้ก็มีเสียงสส.เกิน 250 เสียงมาไม่มาก และไม่รู้ว่าจะถูกดึงหรือไม่? ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังมีเสียงไม่พอ ทั้งการจัดตั้งรัฐบาล และเลือกนายกฯ น้ำหนักจึงตกไปอยู่พรรคตรงกลางอีก 3 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีอยู่ 117 เสียง และอาจนับเป็นขั้วสำคัญทางการเมืองอีก 1 ขั้ว ยิ่งหากทั้ง 3 พรรค จับมือกัน จะทำให้เกิดอำนาจต่อรอง ไม่ว่าจะเลือกอยู่กับใคร งานนี้จึงเกิดกระแสข่าวทั้ง 2 ด้าน ทั้งข่าวเทียบเชิญประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา เข้าร่วมฝั่งพลังประชารัฐ และรวมถึงข่าวเพื่อไทยต่อสายถึงประชาธิปัตย์ ที่ก่อนหน้าคงดูเป็นไปไม่ได้ ก็ยังเกิดข่าวลือดังกล่าวขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม การแถลงจุดยืนของพรรคเพื่อไทยกับพรรคต่างๆ เมื่อวานนี้ ก็ดูไม่ค่อยมีน้ำหนักมากนัก เพราะการนับเสียงถึง 255 เสียง โดยนับรวมพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ไม่ได้มาด้วย และไม่ได้ลงนามด้วย ในที่สุด อาจถูกมองว่า เป็นความพยายามเล่นการเมือง เพื่อเกมบางอย่างต่อการต่อรองหรือไม่? เพราะนอกจากการที่พรรคเศรษฐกิจใหม่ไม่ได้มาด้วยตนเอง และไม่ได้ลงนามแล้ว ยังเป็นการชิงผลคะแนนสส.ที่กกต.ยังไม่ได้รับรอง มาเป็นข้ออ้างในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากผลการรับรองของกกต. ไม่เป็นเช่นนั้นทั้งหมด อาจนำไปสู่การสร้างประเด็นทางการเมืองต่อไปใช่หรือไม่? เพราะอย่างไรก็ตาม หลายคนคงมองว่าพรรคพลังประชารัฐ แม้จะมีคะแนนเสียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสภาฯ แต่หากรวมคะแนนเสียงเพียงพอ ก็คงโหวตนายกฯตามแคนดิเดตที่ตนเองเสนอใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นแล้ว การแถลงของทั้งพรรคเพื่อไทย และพลังประชารัฐเมื่อวานนี้ ก็ไม่อาจนับเป็นน้ำหนักทางการเมืองที่จะส่งผลได้จริง ก่อนการประกาศผลของกกต.ในเดือนพฤษภาคม และอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนใจของพรรคเล็กต่างๆ ที่รอเข้าร่วมรัฐบาล ด้วยหรือไม่?
นอกจากนั้น ด้วยกฎหมายที่เอื้อให้การรับรองผล มีช่วงเวลาสักระยะหนึ่ง เพื่อเปิดช่องให้มีการพิจารณา ความผิดปกติของคะแนนเลือกตั้ง ไม่ว่าจากฝ่ายใดก็ตาม ซึ่งหากกกต.ไม่รับรองส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วส่วนก็จะกลายเป็นใบเหลือง ใบส้ม ใบแดงขึ้นมา ก็จะส่งผลต่อคะแนนเขตและคะแนนบัญชีรายชื่อทันที โดยเฉพาะพรรคที่มีจำนวน สส. เขต มากกว่า สส. พึงได้ ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะมีจำนวน สส. ลดลง หากถูกพิจารณาว่ามีความผิด หลายฝ่ายจึงยังต้องรอให้เกิดการรับรองจากกกต.ให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยก่อน แต่ก็เป็นโอกาสให้ฝ่ายผู้ร้องได้แก้ตัว ในการเลือกตั้งซ่อม วันนั้นมาถึงผลคะแนนอาจเปลี่ยนไปจากวันนี้ ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่ง ทำให้หลายคนมองไปถึงทางออกอีกทาง นั่นคือการที่กฎหมายเอื้อให้สส.มีอิสระในการโหวตนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะอยู่สังกัดพรรคใดก็ตาม นั่นก็คือปรากฏการณ์งูเห่า ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นจริงก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดมาแล้วหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี’40 เมื่อ สส. บางส่วนของพรรคประชากรไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แปรข้างมาสนับสนุนพรรคร่วมฝ่ายค้านให้ขึ้นเป็นรัฐบาลแทน จนกลายเป็นต้นตำรับของปรากฏการณ์งูเห่า ส่วนครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี’51 ซึ่งเป็นพรรคพลังประชาชน ที่ถูก สส. กลุ่มหนึ่งในพรรคตนเองหันไปสนับสนุนขั้วตรงข้ามแทนจนต้องสูญเสียเก้าอี้รัฐบาลในที่สุด ทั้งนี้จุดร่วมของทั้งสองครั้งที่ผ่านมาคือไม่มี สส. คนใดเลยที่ถูกขับออกจากสภาฯ
ดังนั้นเมื่อตัวอย่างในอดีตแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เจ็บตัว ผนวกกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ให้เอกสิทธิ์ในการตัดสินใจกับ สส. เหนือพรรคการเมือง คงเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิมเสียอีกหรือไม่ หากจะมี สส. คนใดคิดเปลี่ยนใจ? ส่วนพรรคที่มีลุ้นจะเจอปัญหานี้ที่สุดคงไม่พ้นเพื่อไทยและอนาคตใหม่ใช่หรือไม่? เพราะทั้งสองพรรคนับได้ว่ามี สส. จำนวนมาก หากความเป็นเอกภาพภายในพรรคไม่เข้มแข็ง ก็มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีการแตกฝูงเกิดขึ้น? ยังไม่นับรวมถึงเรื่องการเมืองในสภาฯ หลังการเลือกตั้งซึ่ง สส. เป็นรายบุคคลน่าจะมีอิสระในการตัดสินใจมากขึ้น ไม่ต้องง้อพรรคเหมือนช่วงเลือกตั้งอีกแล้วหรือไม่?
หลังจากนี้ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็อาจบริหารประเทศได้ยากลำบาก เพราะชัยชนะของทั้งสองฝ่ายไม่เด็ดขาด รวมกับที่กฎหมายยุคนี้เอื้อประโยชน์ให้พรรคเล็ก แนวโน้มคนอยู่ได้ดีในยุคนี้และจะอยู่ได้อย่างมีอำนาจต่อรองกับทุกฝ่ายก็คงจะต้องพูดถึง หนูและงู
“…พยายามทำให้ฝ่ายตรงข้าม ประเมินขุมกำลังท่านต่ำทรามไป
แต่อย่าได้ประเมินศัตรูของท่านต้อยต่ำเด็ดขาด…”
คำคม โกวเล้ง จากเรื่อง กระบี่ ผีเสื้อ ดาวตก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี