ความรุนแรงในครอบครัวอันนำไปสู่การก่อคดีอาชญากรรม ยังมีอยู่เสมอในสังคมไทย ซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชน ได้หาทางป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่
มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เป็นองค์กรหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว ได้เก็บข้อมูลเพียงครึ่งเดือนแรกของปี 2562 พบเหตุฆ่ากันตายในครอบครัว สูงขึ้นกว่า2 เท่า จากปี 2561
และเมื่อเร็วๆ นี้ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้หารือร่วมกับ ดร.ทีน่าบานส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความรุนแรงในครอบครัว คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ถึงสถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศไทยเพื่อพัฒนาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
โดย นายจะเด็จ เชาวน์วิไลผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า การทำงาน 8 ปีที่ผ่านของมูลนิธิ ในระยะแรกได้มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย เพราะเชื่อว่าจะสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาได้พร้อมกันในวงกว้าง แต่กลับพบว่า
หัวใจสำคัญของการทำงานคือการสร้างความเข้มแข็งระดับปัจเจกบุคคล (Individual) กลุ่ม (Group) และเครือข่าย (Network) เพื่อเกิดการขยายงานเฝ้าระวังและเยียวยาในระดับชุมชนอย่างเข้มแข็ง
“คือคนต้องสัมผัส เข้าใจได้ก่อนว่า ความเท่าเทียมระหว่างหญิง-ชาย เป็นอย่างไร เรามองว่าเมื่อ เคส กับชุมชนเข้มแข็ง เกิดคนที่เห็นความสำคัญมากพอ ตรงจุดนี้สำคัญมากกว่าแล้วการขับเคลื่อนนโยบายจะเป็นไปได้เอง”
“เราสร้างอาสาสมัครทั้งชาย-หญิง บางคนเป็นผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว มาร่วมช่วย บริหารจัดการกลุ่ม เครือข่ายการทำงาน พัฒนาชุมชน การเปลี่ยนผู้ที่กระทำความรุนแรง และผู้ที่ได้รับความรุนแรงให้นำประสบการณ์มาเป็นอาสาสมัครในการให้คำปรึกษา และติดตามคดี ทำให้การทำงานมีพลังในตัวเองอย่างมาก”
ในขณะที่ ดร.ทีน่า บานส์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันในประเทศสหรัฐอเมริกา มีเครื่องมือคัดกรองผู้มีความเสี่ยงที่จะได้รับความรุนแรงในครอบครัว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยำ เรียกว่า แบบประเมินอันตราย (Dangerous assessment) ด้วยการที่ผู้ตกเป็นเหยื่อเข้าไปกรอกข้อมูล รายละเอียด สาเหตุ ลักษณะความรุนแรง อาวุธฯ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือได้ใช้แบบประเมินนี้กันอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ ยังต่อยอดพัฒนาเป็นรูปแบบแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือทำให้ผู้หญิงแจ้งข้อมูลได้ง่าย ใกล้ตัว การส่งกลับข้อมูลที่ประมวลผล ยังเป็นคู่มือสำคัญให้เหยื่อได้วางแผนนำพาตัวเองออกจากความรุนแรงได้
“ผลการวิจัยในอเมริกา ผู้หญิงบอกว่าเครื่องมือนี้มีประโยชน์อย่างมาก แน่นอน เพราะระบบการคัดกรองจะช่วยวางแผนเรื่องความปลอดภัยด้วย ความรุนแรงที่เผชิญอยู่เป็นอย่างไร เหยื่อมีทรัพยากรในการช่วยเหลือตัวเองไหม และเธอต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร การประเมินความเสี่ยงนี้ได้ถูกนำไปปรับใช้ในอีกหลายประเทศ สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้มีระบบประเมินแบบนี้ทั่วโลก”
ส่วน ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ประเทศไทยเริ่มมีการใช้ระบบคัดกรองผู้มีความเสี่ยง ตั้งแต่ ปี 2543 ในศูนย์พึ่งได้ (One Stop Crisis Center : OSCC) ซึ่งตั้งอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์ จังหวัดและอำเภอ แต่ด้วยปัญหาภาระงานมากล้นของแพทย์ พยาบาล จึงย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบคัดกรองที่มีอยู่
“เราคิดว่า การพัฒนาตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับหน่วยงานทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น อสม. นำระบบคัดกรองเฝ้าระวังเหตุความรุนแรงในครอบครัว ชุมชนได้ และมีจุดแข็งมากด้วย เมื่อนำมาใช้กับบริบทของบ้านเรา เพราะว่าเราอยู่ใกล้ชิดกัน”
ครับ ท่ามกลางปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง และเด็ก ที่ยิ่งทวีความวิกฤติ นี่จึงเป็นอีกเรื่องสำคัญที่จะสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบทางเลือกเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงตั้งแต่ระยะแรกไม่ให้ลุกลามเข้าสู่ภาวะวิกฤตินั่นเอง ผมขอให้กำลังใจทุกฝ่ายที่ร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี