การดำเนินงานของรัฐบาลประยุทธ์ 2 แม้จะประสบปัญหาแบ่งสรรโควตา ครม. กลายเป็นภาพแก่งแย่งเก้าอี้กระทรวง แต่จริงๆ ก็เป็นวิถีทั่วไปในเวทีการเมืองท่ามกลางบริบทรัฐบาลร่วม ที่พรรคร่วมจะเรียกร้องตามสัดส่วนที่ตัวเองควรได้รับ หากแต่สิ่งที่ต้องคิดจริงๆ คือ การบริหารงานหลังจากตั้ง ครม. แล้วว่านายกฯ จะมีวิธีการอย่างไรให้พรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาลทำงานอย่างเป็นเอกภาพควบคู่ไปกับการรับมือแนวร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งก็ดูจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่เคยต้องเล่นเกมในสภาฯ กับนักการเมืองจริงๆ
โดยการบริหารงานภายใต้พรรคร่วมของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ นั้น หากจะเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่าสามารถบริหารให้ดำเนินไปได้ แม้จะไม่เป็นเอกภาพ แต่คงไม่ถึงขั้นที่จะพังลงมาง่ายๆ แต่เรื่องที่น่ากังวลสำหรับการจัด ครม. ของรัฐบาลประยุทธ์ 2 เมื่อเทียบกับการตั้ง ครม. ในอดีต อย่างกรณีสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่มี สส. ร่วมจากหลายพรรคการเมืองได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทย รวมใจไทยชาติพัฒนา มาตุภูมิ และ พรรคเพื่อแผ่นดิน (บางส่วน) ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี สส. จำนวน 179 คน ได้เก้าอี้รัฐมนตรีจำนวน 10 เก้าอี้ ส่วนที่เหลือเป็นของพรรคร่วมอื่น แม้จะเป็นกระทรวงสำคัญอย่าง กระทรวงมหาดไทย พาณิชย์ คมนาคม พลังงาน และกระทรวงเกษตรฯ ที่ตกอยู่กับพรรคร่วมทั้งหมด หรือแม้แต่รมว.ไอซีที และรมว.อุตสาหกรรม ที่เป็นของพรรคร่วมในช่วงแรกก่อนที่ภายหลังจะมีการหมุนเก้าอี้ใหม่และกลับมาที่ประชาธิปัตย์ในภายหลัง
ดังนั้นจริงๆ แล้วจึงไม่แปลก หากรอบนี้เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงหลักๆ จะถูกกองไปอยู่กับพรรคร่วมมากกว่าพรรคหลักคือพรรคพลังประชารัฐ เพียงแต่ว่า ครม.ประยุทธ์ในรอบ 2 นี้ ถูกมองว่ายากขึ้นไปอีกเพราะแม้จะแบ่งให้พรรคร่วมไปแล้ว แต่ภายในก็ต้องแบ่งโควตาออกเป็นอีก 2 ส่วน คือ ส่วนของพรรคพลังประชารัฐและส่วนของนายกฯ ซึ่งอาจจะมีบุคคลอื่นที่นายกฯ เห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม แม้ไม่ได้อยู่ในพรรคพลังประชารัฐมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีด้วย เช่น คนใน ครม. ที่มีอำนาจในรัฐบาลประยุทธ์ 1 ที่เคยดูแลด้านความมั่นคงหรือดูแลกระทรวงสำคัญๆ ที่เป็นหัวใจของรัฐบาลประยุทธ์ 1 ก็น่าจะกลับมาจำนวนไม่น้อย ซึ่งบุคคลที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารในพรรคลังประชารัฐ จึงเป็นผลให้อัตราส่วนจำนวนรัฐมนตรีต่อจำนวน สส.พรรคพลังประชารัฐ กำหนดได้ยากกว่าพรรคใหญ่ในรัฐบาลในครั้งอดีต
สำหรับการประเมินว่ารัฐบาลประยุทธ์ 2 อยู่นานแค่ไหน คงต้องปูพื้นองค์ประกอบก่อนว่า เมื่อไม่นับพรรคพลังประชารัฐ จะเห็นว่าแต่ละพรรคการเมืองจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ขั้วแรกคือ พรรคที่ไม่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรับบทเป็นฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย เศรษฐกิจใหม่ ประชาชาติ เพื่อชาติ และพรรคพลังปวงชนไทย ส่วนขั้วที่สองคือ ขั้วที่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งในขณะนี้ก็ดำรงสถานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา รวมพลังประชาชาติไทย พลังท้องถิ่นไท รักษ์ผืนป่าประเทศไทย รวมถึงพรรคเล็กอีกหลายพรรค ทั้งสองฝั่งมีสถานภาพและความบาดเจ็บหลังเลือกตั้งที่แตกต่างกันมาก
สำหรับฝั่งที่ไม่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ หลายคนก็เชื่อว่ามีเป้าหมายร่วมกันคือการทำให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด ด้วยสถานการณ์ที่เป็นสภาฯ เสียงปริ่มน้ำ ก็จะยิ่งทำให้ฝ่ายค้านมีเครื่องมือในการเล่นเกมในสภาฯ มากขึ้นด้วย ตั้งแต่การนับองค์ประชุม การตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายคณะรัฐมนตรี ตลอดจนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งคณะรัฐมนตรีที่ต้องเข้าประชุมสภาฯ อยู่แล้วก็มีโอกาสที่จะต้องรับมือทุกสัปดาห์ รวมถึงกระบวนการตรวจสอบโดยฝ่ายค้าน ที่หลังจากนี้หลายฝ่ายคาดว่าจะเดินหน้าทันทีโดยไม่ต้องรอให้นายกฯ ประยุทธ์ บริหารประเทศรอบ 2 โดยน่าจะอ้างเหตุผลด้วยการตรวจสอบย้อนหลังไป 5 ปี ตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ 1
นอกจากนี้ยังมีวิธีการนอกสภาฯ อย่างการใช้วิธีกระตุ้นสังคมให้เกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เช่น กรณีของพรรคอนาคตใหม่ที่เสนอประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญในมาตรา 272 ซึ่งว่าด้วยอำนาจในการโหวตเลือกนายกฯ ของ สว. และมาตรา 279 ซึ่งว่าด้วยคำสั่ง คสช. ซึ่งพรรคอนาคตใหม่มองเกมออกแล้วว่าพรรคการเมืองหลักต่างๆ ไม่ว่าพรรคใด น่าจะลงมาเล่นด้วย และจะถูกนำไปเป็นประเด็นการเมืองนอกสภาได้ จากการที่แกนนำพรรคประกาศว่าจะเดินสายเวทีพบประชาชนเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม แนวร่วมฝ่ายค้านเองก็ใช่ว่าจะไม่เผชิญปัญหา โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ยังต้องรอลุ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งจากกระแสก็ดูเหมือนจะกลายเป็นการแข่งขันกันระหว่าง 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายที่สนับสนุนนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค และฝ่ายที่ชูนาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่แน่นอนว่าใครจะคว้าตำแหน่งหัวหน้าพรรคไป แต่สิ่งที่หลายคนจับตามองอยู่คือ ดุลอำนาจในพรรคเพื่อไทยจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนหลังจากได้ตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว? โดยเฉพาะบทบาทในพรรคของคุณหญิงสุดารัตน์ จากเดิมที่หลายฝ่ายก็ประเมินอยู่แล้วว่า การเล่นบทนำภายในพรรคของคุณหญิงสุดารัตน์น่าจะลดลงอย่างแน่นอนจากการที่เจ้าตัวไม่ได้เป็น สส. หากแต่ถ้ามีการเปลี่ยนตัวกรรมการบริหารพรรคเป็นชุดใหม่ หลังการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ด้วย รวมถึงบทบาทของกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคที่จะไม่มีอีกแล้ว ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าทิศทางพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้ อาจไม่ใช่คุณหญิงสุดารัตน์ที่ขึ้นมาเล่นบทนำอีกแล้ว?
ขณะที่พรรคฝั่งหนุนพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือพรรคร่วมหลัก ประกอบไปด้วย พรรคขนาดกลางและเล็ก และส่วนที่สองคือพรรคร่วมขนาดจิ๋วที่มี สส. ในพรรคเพียงคนเดียว จำนวน 11 พรรค ซึ่งหลายฝ่ายประเมินไว้ว่าเป็นกลุ่มพรรคที่มีโอกาสน้อยที่จะกลับมาเป็น สส. ในครั้งหน้า หากไม่ปรากฏผลงานในรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้นสำหรับพรรคดังกล่าวจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเวทีในการสร้างผลงานสักระยะในขณะที่กลุ่มพรรคขนาดกลางและเล็ก อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมหลักก็ผ่านการเลือกตั้งมาในสภาพที่สะบักสะบอม กล่าวคือ ได้เสียงน้อยลงจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหรือกรณีต่ำกว่าที่คาดการณ์ในกรณีที่เป็นพรรคตั้งใหม่อย่างพรรครวมพลังประชาชาติไทย ขณะที่พรรคภูมิใจไทย แม้จะได้ที่นั่งในสภาฯ มามากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมิน แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่าเป็นเพราะพรรคภูมิใจไทยลงทุนลงแรงไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ดังนั้นหากแนวร่วมรัฐบาลแตกแถวหรือมีการตีรวนกันภายใน จนเกิดการประกาศยุบสภาฯ ทำให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ภายในเวลา 1-2 ปี หลังการตั้งรัฐบาล ฝ่ายที่น่าจะตกที่นั่งลำบากน่าจะเป็นบรรดาพรรคเหล่านี้มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งยังฟื้นตัวไม่ทันและยังเผชิญกับปัญหาที่ฐานเสียงส่วนหนึ่งไม่ต้องการให้ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ทำให้เงื่อนไขที่ต้องทำให้ได้ในการร่วมรัฐบาลครั้งนี้สำหรับทั้งสองพรรคคือ การสร้างผลงาน ซึ่งสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าหากแสดงผลงานให้เป็นที่ปรากฏได้ ก็น่าจะเป็นผลบวกและอาจช่วยให้ฐานเสียงที่เสียไปในการเลือกตั้งครั้งนี้กลับมาเลือกอีกครั้งในครั้งต่อไป แต่ถ้าอายุรัฐบาลสั้นเกินไปไม่พอจะสร้างผลงาน อาจจะเกิดปัญหาได้
สำหรับสิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ การจัด ครม. ภายใต้โควตาของแต่ละพรรคหรือแต่ละกลุ่มที่จะให้เหมาะสมในเรื่องบุคคลต่อหน้าที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง หรือความมั่นคง ก็น่าจะดีกว่าหากทุกฝ่ายเลือกเอาบุคคลที่มีความสามารถและเหมาะสมต่อเก้าอี้ในกระทรวงนั้น สิ่งที่น่ากังวลเป็นลำดับสองตามมา คือการทำงานร่วมกันของ ครม. ที่มีรัฐมนตรีจากพรรคร่วมภายใต้นายกฯ ประยุทธ์ ที่ยังไม่เคยทำงานบริหารประเทศร่วมกับพรรคการเมืองมาก่อน เชื่อว่าหากนายกฯ ประยุทธ์เปิดใจก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้รับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนผ่านปากเสียงของพรรคการเมืองมายัง ครม. และอาจส่งผลต่อภาพรวมการทำงานของรัฐบาลหลังจากนี้ ให้ ครม. ประยุทธ์ 2 มีความใกล้ชิดและเข้าใจประชาชนมากยิ่งขึ้น แต่หากโชคร้ายไม่เป็นเช่นนั้น ถ้ารัฐบาลทำงานบริหารแบบแยกส่วนระหว่างรัฐมนตรีภายใต้นายกฯ และรัฐมนตรีภายใต้พรรคการเมือง ก็อาจจะทำให้การบริหารงานไม่เป็นเอกภาพ บทบาทของนายกฯ หลังจากนี้จึงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง
“...ระหว่างสหายสมควรพูดความจริง...”
โกวเล้ง จากเรื่อง เล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี