สัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานรัฐสภา ชวน หลีกภัย ได้เตือนสติสมาชิกรัฐสภาให้ใช้งบประมาณเพื่อการเดินทางและการดูงานอย่างคุ้มค่า นับเป็นคำเตือนที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างยิ่ง
การเตือนอย่างเดียวคงจะไม่เพียงพอ เพราะประธานรัฐสภาในฐานะผู้รับผิดชอบ การใช้จ่ายเงินของรัฐสภา คงต้องพิจารณาแก้ไขปรับปรุงระบบและโครงสร้าง การเดินทางการดูงานของ สส. และ สว.
ข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาในปัจจุบัน
1. สส. และ สว. สามารถเดินทางในประเทศทั้งทางเครื่องบิน (ทุกสายการบิน) รถไฟ (ทุกเส้นทาง) รถทัวร์ รถบัส
โดย สส. และ สว. ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโดยสาร ได้ทุกเวลา ในทุกเส้นทาง และทุกสถานที่ โดยที่ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บจากรัฐสภาที่ต้องจ่ายจากภาษีของประชาชน
พบปัญหา คือ
(1) สส. และ สว. ในอดีต หลายคน เดินทางโดยเครื่องบิน โดยมีจุดหมายปลายทาง ไม่เพียงแต่ไปประชุมหรือไปทำงานรับฟังปัญหาประชาชน แต่เพื่อเดินทางไปทำภารกิจส่วนตัว ธุรกิจส่วนตัว หรือจับกลุ่มนัดแนะไปสังสรรค์ ตีกอล์ฟ ที่นั่น ที่นี่ ก็ใช้สิทธิ์ดังกล่าว ทั้งนี้เพราะรัฐสภาให้เอกสิทธิ์ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องแจ้งเหตุผลการเดินทาง และไม่ต้องรายงานแสดงผลงานที่ได้จากการเดินทาง
การไม่ต้องขออนุญาต ขออนุมัติการเดินทาง พอจะเข้าใจได้ว่าหากต้องขออนุมัติก็อาจจะขาดความเป็นอิสระที่จะเดินทางไปประชุมหรือไปหาข้อมูล และฟังความเห็นของชาวบ้าน แต่การไม่ต้องแจกแจงให้สังคมได้รับรู้ว่า
ไปไหน ทำอะไร ได้อะไรกลับมาบ้าง ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ สส. และ สว. บางคนใช้เงินของประชาชน หาประโยชน์อันมิชอบได้
บางคนเดินทางไปรัฐสภา และกลับบ้านต่างจังหวัดทุกวัน แม้จะประชุมติดต่อกันที่รัฐสภาหลายวันก็นิยมเดินทางไป – กลับทุกวัน เพราะต้องการสะสมไมล์ สะสมแต้มการเดินทางจากสายการบิน
(2) สส. และ สว. ใช้สิทธิ์เดินทางโดยรถไฟและรถยนต์โดยสารในนามของตนแต่ให้ผู้อื่นเดินทาง ซึ่งสร้างภาระค่าใช้จ่ายที่มาจากภาษีประชาชน สร้างพฤติกรรมการทุจริตประพฤติมิชอบของ สส. และ สว. ซึ่งเป็นฝ่ายตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน
(3) สส. และ สว. บางคนจองเที่ยวบินแต่ไม่เดินทาง โดยไม่ได้ยกเลิกการจองในเวลาที่กำหนด ทำให้รัฐสภาต้องเอาเงินภาษีประชาชนไปจ่ายให้แก่สายการบินโดยไม่สมควร
(4) สส. และ สว. บางคนเดินทางไปถึงสนามบินช้า และขอให้เครื่องบินจอดรอ ในอดีตมี สส. อุบลราชธานีที่เป็นรัฐมนตรี สั่งให้เครื่องบินการบินไทยแวะไปส่งที่จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งๆ ที่ เที่ยวบินนั้นไม่ได้แวะลงสนามบิน จ.อุบลราชธานี
2. รัฐสภาได้จัดงบประมาณจากภาษีของประชาชน ให้กรรมาธิการทั้ง สส. และ สว. จำนวนมากกว่า 50 คณะ คณะละ 20-30 คน เดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศทุกปี ประชาชนต้องสูญเสียงบประมาณปีละหลายร้อยล้านบาท
พบปัญหาดังนี้
(1) สส. และ สว. จำนวนมากต้องการเดินทางไปท่องเที่ยว จึงมักจะกำหนดประเทศที่อยากจะไปท่องเที่ยวก่อน แล้วจึงกำหนดว่าอยากจะไปเยี่ยมชมเพื่อศึกษาอะไร จึงปรากฏประเทศยอดฮิตซ้ำๆ กัน ที่กรรมาธิการแต่ละชุดเลือกจะเดินทางไปซ้ำซากกันทุกๆปี ประเทศยอดฮิต คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น น่าสังเกตว่าประเทศเพื่อนบ้านของไทยจะมีผู้สนใจน้อยมาก
(2) กรรมาธิการมักจะให้บริษัททัวร์จัดโปรแกรมการเดินทางและที่พักให้ โดยกำหนดการศึกษาดูงานเป็นสิ่งบังหน้าให้ดูดี เมื่อไม่มีโจทย์หรือประเด็นคำถามที่จะไปเรียนรู้หาคำตอบ สิ่งที่จะไปศึกษาเยี่ยมชมก็คือรัฐสภา หน่วยงานของรัฐ ที่ซ้ำๆ กันทุกปี และแถมด้วยปราสาทราชวัง
ส่วนมากก็ชอบไปช็อปปิ้ง บางคณะอยากไปช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมหรือเอาท์เล็ท เช่น ที่ BICESTER ซึ่งเป็น
แหล่งช็อปปิ้งของอังกฤษ แต่ระบุในกำหนดการว่าไปศึกษาดูงาน OTOP ของสหราชอาณาจักรอังกฤษที่ BICESTER
(3) แวดวงเจ้าหน้าที่การทูตของไทย ที่ประจำประเทศยอดฮิตเหล่านี้ ได้เคยปรารภให้ฟังว่า เมื่อสถานทูตไทยต้องติดต่อหน่วยงานประเทศยอดฮิตที่ต้องรับคณะจากไทยซ้ำซากหลายครั้ง เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยมักจะได้รับคำถามกลับมาว่า ทำไมสมาชิกสภาของไทย จึงสนใจมาแล้วมาอีกแทบทุกปี ปีหนึ่งหลายคณะ เขาไม่ได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์ มีระบบจัดเก็บถ่ายทอดเรียนรู้กันละหรือ?
บางคณะเมื่อเดินทางไปถึงประเทศที่ต้องการศึกษาดูงาน ได้ขอให้สถานทูตยกเลิกนัดหมายที่ทางสถานทูตไทยได้ช่วยนัดหมายไว้ให้ อ้างไม่มีเวลาพอที่จะศึกษาดูงาน
(4) สิ่งหนึ่งที่ สส. และ สว. กำหนดก็คือจะขอฟังบรรยายสรุปจากสถานทูต ซึ่งสถานทูตก็ต้องจัดการต้อนรับเลี้ยงอาหารที่ทำเนียบทูต และบางครั้งก็ขอให้เชิญเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศนั้นมาด้วย
ปรากฏความไม่คุ้นเคย ไม่ได้เรียนรู้กับพิธีการ (protocal) และมารยาทสากล (Etiquette) ทั้งการแต่งกาย มารยาทในโต๊ะอาหาร การส่งเสียงดังข้ามโต๊ะ การร้องเพลง ดั่งเช่นที่ท่านทูต นริศโรจน์ เฟื่องระบิล ถึงกับต้องเขียนข้อความถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรให้จัดฝึกอบรมมารยาทสากลและพิธีการ
ผมอ่านที่ท่านทูต นริศโรจน์ เขียนในโซเชียลมีเดียแล้ว ถึงกับหน้าชาเป็นที่น่าอับอายมาก
(5) ในฐานะที่เคยเป็นประธานกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา (ชุดที่มาจากการเลือกตั้ง) เมื่อปี 2543 - 2549 มีประสบการณ์ที่ต้องนำกรรมาธิการและ สว. ไปศึกษาดูงาน จึงขอเสนอขั้นตอนการศึกษาดูงานดังต่อไปนี้
5.1 ต้องกำหนดโจทย์หรือคำถามที่กรรมาธิการต้องการจะเรียนรู้อย่างชัดเจน ก่อนที่จะเลือกประเทศหรือสถานที่จะไปดูงาน
5.2 เลือกสถานที่ จะไปศึกษาดูงานว่าต้องไปที่ใดถึงจะได้ความรู้ได้ข้อมูลจากประสบการณ์ของเขา แล้วชื่อประเทศที่จะไปถึงปรากฏตามมา
5.3 ศึกษาข้อมูลจากอินเตอร์เนต ให้เข้าใจเบื้องต้นว่าหน่วยงานที่อาจจะไปพบ เขารู้อะไร มีกิจกรรมอะไร และอาจเชิญเจ้าหน้าที่สถานทูตของประเทศนั้นที่ประจำอยู่ในประเทศไทย มาสอบถามเพื่อเรียนรู้เป็นเบื้องต้นก่อน
5.4 สังเคราะห์และวิเคราะห์ว่ามีข้อมูลหรือประเด็นเชิงลึกอะไร ที่ยังไม่ได้รับรู้แต่ต้องไปเรียนรู้ถกเถียงวิเคราะห์กับหน่วยงานในประเทศนั้น
นำคำถามประเด็นเชิงลึกฝากกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตไทยที่ประจำประเทศนั้นที่ต้องนัดหมายหน่วยงานที่จะไปพบ เพื่อให้เขาเตรียมการเตรียมข้อมูลในการพูดคุย ในการนี้เราจึงจะได้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่มีความรู้มาพบกับเราได้ตรงตามความต้องการและได้ข้อมูลอย่างเต็มที่
5.5 ตรวจสอบว่ากรรมาธิการก่อนหน้านี้หรือกรรมาธิการชุดอื่น เขาได้เดินทางไปศึกษาเรียนรู้มาแล้วหรือไม่ ได้เนื้อหา
ข้อมูลอะไรมาบ้าง เพียงพอที่เราจะใช้ประโยชน์โดยไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลาและเสียเงินภาษีของประชาชนหรือไม่
5.6 เมื่อเดินทางไปดูงานที่ใดแล้ว ควรจะได้กลับมาวิเคราะห์สังเคราะห์รวบรวมข้อมูลเพื่อใช้งานในหน้าที่อย่างจริงจัง และให้รัฐสภารวบรวมเป็นระบบแสดงไว้ในเว็บไซต์ของสภา เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาและประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้ด้วย
5.7 ขอแสดงตัวอย่างเมื่อครั้ง กรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เมื่อครั้งในอดีตที่ผมเป็นประธานฯ ได้รับการร้องเรียนและลงไปศึกษาปัญหาจากชาวบ้าน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่อาศัยทำกินอยู่ในบริเวณริมแม่น้ำโขง ว่าขณะนี้สภาพปัจจุบันน้ำในแม่น้ำโขงเปลี่ยนไป น้ำในแม่น้ำโขงขึ้น - ลง เดือนละหลายครั้ง ส่งผลทำให้ตลิ่งพัง และไม่สามารถทำการเกษตรในที่ดินริมฝั่งโขงได้ และขณะเดียวกันพบว่าจีนมีโครงการจะระเบิดแก่งในแม่น้ำโขง เกรงจะกระทบระบบนิเวศเป็นอย่างมาก
กรรมาธิการจึงได้เชิญเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ ไปศึกษาเรียนรู้ปัญหาที่ อ.เชียงของ ร่วมกับกรรมาธิการและได้ตรวจสอบพบว่าเหตุของน้ำขึ้น-ลง ดังกล่าว เกิดจากจีนสร้างเขื่อนที่ต้นแม่น้ำโขง
เก็บและปล่อยน้ำตามความต้องการของจีน จึงได้ตั้งโจทย์ประเด็นคำถามว่าเมื่อแม่น้ำโขงไหลจากจีนผ่านลงมาหลายประเทศ ประเทศอื่นๆ เช่น ลาว กัมพูชา เวียดนาม เขาได้รับผลกระทบหรือไม่อย่างไร ประเทศเหล่านี้จะมีท่าทีที่จะร่วมกันแก้ปัญหานี้อย่างไร
กรรมาธิการจึงได้ใช้งบประมาณการศึกษาดูงานที่รัฐสภาได้จัดสรรไว้ให้ เดินทางไปที่เขื่อนผลิตไฟฟ้าของจีน เพื่อพบและแสดงความห่วงใยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ดูแลการปล่อยน้ำจากเขื่อนของจีน
หลังจากนั้น จึงไปศึกษาดูงานที่ประเทศลาว ไปพบประชาชนริมฝั่งโขงของลาว เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของลาว และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของลาว
หลังจากนั้นเดินทางไปกัมพูชาและเวียดนามในบริเวณตอนใต้ปากแม่น้ำโขง เพื่อไปพบกับนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ที่ได้ศึกษาวิจัยเรื่องนี้
กรรมาธิการจึงได้ข้อมูลที่มั่นใจประสานกับฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) และเผยแพร่ปัญหาให้ประชาชนได้รับทราบ
โอกาสหน้า จะได้นำข้อคิด ความเห็นของท่านทูตฯ พิศาล มาณวพัฒน์ และท่านทูตฯ นริศโรจน์ เฟื่องระบิล ที่ได้เขียนวิเคราะห์เสนอแนะเรื่องการศึกษาดูงานของ สส. และ สว.ของไทยมาให้อ่าน เพื่อประธานรัฐสภา คุณชวน หลีกภัย
จะได้นำไปพิจารณาแก้ไข ปรับปรุงโครงสร้างและระบบการศึกษาดูงานของสมาชิกรัฐสภาต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี