ตั้งแต่หลังเลือกตั้งมา 3 เดือนกว่าแล้ว ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแน่นอนคือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ ได้จัดมีการเลือกตั้งแล้ว 2.มีสภาผู้แทนราษฎร และมีประธานสภาฯ เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือนายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ 3.ในที่สุดพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้วจริงๆ รวมถึงตำแหน่งประธานสภาฯ ที่มาจากการแข่งกันของทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล 4.มี สว. ที่ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้นจึงขาดอีกเพียงการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก็จะเป็นการครบองค์ประกอบ ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญปี’60 และก็จะเป็นการมุ่งสู่การถอนอำนาจตามมาตรา 44 ของพล.อ.ประยุทธ์ออก ตลอดจนการนับถอยหลังของ คสช. หากแต่วันนี้ ยังไม่มีการแต่งตั้งครม. แม้พรรคร่วมจะได้ส่งรายชื่อจนครบแล้วก็ตามที
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ต้องมองก่อนว่า 1.ในขณะนี้ครม.ชุดปัจจุบันสามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องตั้งครม.ใหม่ เพราะครม.ชุดปัจจุบันไม่ได้มีอำนาจเพียง ครม.รักษาการหากแต่เป็นครม.ที่มีอำนาจเต็ม แม้จะมีไม่ครบก็ตาม แต่ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เฉกเช่นครม.ปกติ และหากลากเวลาสักหน่อย เรื่องพ.ร.บ.งบประมาณ ก็ไม่ใช่ปัญหา แม้คะแนนเสียง ครม.จะสั่นคลอนก็ตาม เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี’60 ได้ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติส่วนนี้ไม่ให้สะดุด และให้ราชการดำเนินการต่อได้ นอกจากนั้นยังมีกระบวนการทาง สว. อีก
2.หากเกิดความวุ่นวายทางการเมือง นายกฯภายใต้รัฐธรรมนูญปี’60 อย่างพล.อ.ประยุทธ์ ก็มีอำนาจอย่างชอบธรรม ที่จะประกาศยุบสภาจากการเลือกตั้ง ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าข้อกฎหมายกำหนดให้การยุบสภาต้องเลือกตั้งภายใน 45 วัน และไม่เกิน 60 วันนับแต่วันพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ แต่คงลืมแล้วว่า ณ เวลานี้ คสช. ก็ยังอยู่ อำนาจตามมาตรา 44 ก็ยังอยู่ การกำหนดวันเลือกตั้งอาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ และหากถามว่างานด้านนิติบัญญัตินั้นใครดู ตัวบทกฎหมายเองก็ยังเอื้อให้กับ สว. ทำงานได้ ทั้งหมดนี้จึงยังอยู่ในมือพล.อ.ประยุทธ์ แม้จะมีความระส่ำระสายของพรรคพลังประชารัฐบ้าง ก็ไม่ได้บั่นทอนบารมีของพล.อ.ประยุทธ์อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน หากแต่ยังเป็นการต่ออำนาจและเปิดทางให้พล.อ.ประยุทธ์เข้าไปสะสางจัดระเบียบในพรรคพลังประชารัฐใหม่ ให้อยู่ในกำมืออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นอกจากนี้ภาพความวุ่นวายของบรรดานักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลที่แย่งเก้าอี้กันก่อนหน้านี้ และฝ่ายค้านที่จ้องแต่จะชุมนุมก่อม็อบ นานวันเข้าก็จะยิ่งกระตุ้นความเบื่อหน่ายการเมืองในใจของประชาชนไทยมาอีกครั้ง เหมือนกับเมื่อครั้ง 4 ปีที่แล้ว
สำหรับรัฐบาลประยุทธ์ 2 นั้น ถือได้ว่าเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วมรัฐบาลมากที่สุดสมัยหนึ่งเลยทีเดียว คือมีทั้งพรรคการเมืองขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ซึ่งนับรวมกันแล้วมีมากถึง 16 พรรคการเมือง คิดเป็น 254 เสียง ซึ่งจากจำนวนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ทุกพรรคการเมืองในจำนวน 16 พรรคนี้ มีน้ำหนักและเป็นกุญแจสำคัญที่มีผลต่ออายุของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเสียงที่เกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ มาแบบปริ่มน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าภาพความปรองดองของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น เป็นสิ่งที่นายกฯประยุทธ์อยากจะเห็น ซึ่งถ้าหากยึดตามโผครม.ที่ออกมาล่าสุด บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา และรวมพลังประชาชาติไทย ที่ได้รับการจัดสรรเก้าอี้กันลงตัวแล้ว หากพล.อ.ประยุทธ์ยึดตามโผดังกล่าว คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่น่าสนใจคือบรรดาพรรคเล็กที่เหลือที่มีคะแนนเสียงไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้เก้าอี้รัฐมนตรี มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีหลักประกันอะไรที่จะยึดโยงให้อยู่ต่อ ซึ่งสิ่งที่จะต้องทำคือคอยประสานงาน พูดคุยกันอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ในสถานการณ์เสียงที่ปริ่มน้ำเช่นนี้ใช่หรือไม่?
จากการรวมตัวกลุ่มกันจากหลายฝ่ายอย่างหลวมๆ ภายใต้ธงเดียวกันคือพรรคพลังประชารัฐ ที่หลายฝ่ายมองว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในพรรคในไม่ช้า มาในวันนี้หลายกลุ่มก็มีความเคลื่อนไหวที่พอจะสั่นสะเทือนแก่พรรคพลังประชารัฐบ้างแล้ว อย่างกลุ่ม สส. ภาคกลางของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีหนึ่งในแกนนำอย่างนายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหลุดโผครม.ของรัฐบาลประยุทธ์ในเชิงไม่แน่ใจในอนาคตของตัวเองกับพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ก็พร้อมยอมรับในกติกา หรือกรณีที่น่าจับตายิ่งไปกว่านั้น คือ กรณีกลุ่มสามมิตรที่เริ่มเคลื่อนไหวหลังจากกระแสข่าวที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกโยกย้ายรายชื่อไปนั่ง รมว.อุตสาหกรรม แทน รมว.พลังงาน ตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดความไม่พอใจแก่แกนนำกลุ่มสามมิตรและส่งผลให้เกิดสถานการณ์ความวุ่นวายขึ้นในพรรคพลังประชารัฐทันที แม้สุดท้ายจะหาข้อสรุปโดยอ้างเหตุว่าเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดภายในพรรค พร้อมกับยอมรับว่าการจัดสรรโควตารัฐมนตรีเป็นสิทธิขาดของนายกฯ ซึ่งในท้ายที่สุดก็คงเห็นแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มใดในพรรค ก็ไม่สามารถสั่นสะเทือนโผครม.ของรัฐบาลประยุทธ์ได้อยู่ดี ตามที่พล.อ.ประยุทธ์พูดเอาไว้ล่าสุดว่า “การตั้งครม. ในส่วนของผมเสร็จแล้ว และในพรรคพลังประชารัฐก็จบแล้ว เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อเสียงปริ่มน้ำ ไม่มี”
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มสามมิตรให้ลึกไปกว่านั้น จะพบว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวย่อมไม่ส่งผลดีแก่ตัวเอง เพราะสุดท้ายกลุ่มสามมิตรเองก็ยังต้องพึ่งพิงพรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องไม่ลืมว่าพรรคพลังประชารัฐก็มีส่วนช่วยให้กลุ่มสามมิตรได้เป็น สส. ผนวกกับหากมีการแตกหักภายในพรรคพลังประชารัฐจริงๆ กลุ่มสามมิตรก็คงต้องกล้ำกลืนอยู่ต่อหรือไม่? เพราะแต่เดิมกลุ่มสามมิตรคือกลุ่มที่แตกออกมาจากพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย ซึ่งหากจะกลับไปยังจุดเดิมก็คงเป็นไปได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์ปัจจุบันก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะแยกตัวออกไปก่อตั้งพรรคใหม่มาร่วมต่อสู้ เพราะยังขาดผู้นำที่แข็งแกร่งที่จะมาต่อสู้กับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน สู้อยู่ต่อในฐานะพรรคแกนนำหลัก แม้จะไม่ได้เก้าอี้จำนวนตามที่ต้องการ แต่ก็ถือว่าได้ไปไม่น้อยไม่ใช่หรือไม่?
ในขณะที่รอการจัดตั้งครม.ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ทางซีกฟากฝ่ายค้านอย่างพรรคอนาคตใหม่และเพื่อไทย ก็เดินเกมแยกกันทำงาน แม้จะเห็นการเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่มากกว่า ทั้งในสภาฯและนอกสภาฯ อย่างกรณีการร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อและการเตรียมการเดินสายทั่วประเทศของพรรคอนาคตใหม่ ตลอดจนการประกาศตัวส่งผู้สมัครชิงการเมืองท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แม้จะทำให้ภาพพรรคอนาคตใหม่ โดดเด่นกว่าพรรคเพื่อไทย แต่ก็ดูจะเป็นเป้าให้ถูกจัดการได้ง่ายเช่นกัน
ในขณะที่พรรคหลักทางฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ก็ปรับหมากครั้งใหญ่ เปลี่ยนตัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค เพื่อเตรียมเดินเกมในสภาให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการวางตัวนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
และผู้นำฝ่ายค้านต่อสู้กับเกมการเมืองในสภาฯ และเลขาธิการพรรคฯที่มีกระแสข่าวว่า น.อ.อนุดิษฐ์ จะนั่งเก้าอี้ดังกล่าว ภายใต้การผลักดันของคุณหญิงสุดารัตน์ซึ่งน่าสนใจว่าหลังจากนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ จะสามารถเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่? เพราะต้องอย่าลืมว่าตำแหน่งเลขาฯ นอกจากจะต้องเป็นที่ยอมรับของคนในพรรคแล้ว ยังต้องได้รับการยอมรับจากพรรคร่วมฝ่ายค้านอีก 6 พรรคด้วย เช่นเดียวกับตำแหน่งหัวหน้าพรรคของนายสมพงษ์
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติส่วนตัวที่นายสมพงษ์มี อย่างประสบการณ์ทางการเมืองที่สูง และเป็นบุคคลที่หลายฝ่ายให้ความเคารพ ก็คงจะเป็นที่ยอมรับได้ไม่ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง คือการที่นายสมพงษ์เองเคยถูกมองว่าเป็นสายตรงของนายทักษิณ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการต่อจากนี้ จะยังคงอยู่ภายใต้การดำเนินการของนายทักษิณหรือไม่? ซึ่งเมื่อพูดถึงนายทักษิณแล้ว ก็น่าสนใจว่าในขณะนี้ที่มีสถานการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้น ไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทยเอง นายทักษิณกลับดูนิ่งไปในช่วงนี้ แต่ใครจะรู้ว่าการที่นิ่งไปนั้น จะผ่านการกำหนดและรู้เกมดีของนายทักษิณแล้วใช่หรือไม่? ซึ่งนายทักษิณคงรู้ดีว่าหากลงมือทำอะไรในตอนนี้และส่งผลให้วุ่นวายมากยิ่งขึ้น ก็จะมีแต่เสริมพลังให้แก่พล.อ.ประยุทธ์ และจะไม่ถึงเวลานับหนึ่งของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างสมบูรณ์เสียที
“…มิว่าผู้ใดเมื่อถูกกระทบกระทั่งอย่างรุนแรง ความคิดและพฤติการณ์ของมัน
ยากยิ่งจะไม่วู่วามหุนหันจนเกิดความเลินเล่อ…”
โกวเล้ง จากเรื่อง ไม่มีน้ำตาวีรบุรุษ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี