“ขนมจีนน้ำปลา” คือเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ณ โรงเรียนบ้านท่าใหม่ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อมีข้อร้องเรียนในเดือนมิ.ย. 2561 กรณีโรงเรียนดังกล่าวให้นักเรียนชั้นอนุบาลรับประทานอาหารกลางวันเป็นขนมจีนคลุกน้ำปลา นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้อำนวยการโรงเรียนซึ่งมีข้อมูลว่าพบพฤติกรรมทุจริต นำไปสู่คำสั่งไล่ออกจากราชการเมื่อเดือนพ.ค. 2562 ที่ผ่านมา
จากกรณีข้างต้น “อาหารกลางวันนักเรียน” ดูเหมือนจะกลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ไปแล้ว เพราะล่าสุดตลอดสัปดาห์นี้มีทั้งการที่พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเมื่อ 7 ก.ค. 2562 ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำชับให้ตรวจสอบทุกโรงเรียนทั่วประเทศ เพราะต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพของเด็กนักเรียนและเยาวชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของชาติ
และรวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กล่าวเมื่อ 9 ก.ค. 2562 กำชับผู้บริหารโรงเรียนทุกแห่งในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ว่านอกจากจะต้องดำเนินการเรื่องทำสัญญาให้ถูกต้องแล้ว ต้องตรวจสอบด้วยว่าคุณภาพอาหารเป็นอย่างไร ปริมาณอาหารเพียงพอหรือไม่ หลังพบเรื่องร้องเรียนที่ จ.นครราชสีมา
ข้างต้นเป็นท่าทีของรัฐบาลหลังได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีทุจริต แต่ประเด็นอาหารกลางวันของเด็กไทยยังมีปัญหาอื่นรอให้แก้ไขเช่นกัน นั่นคือ “การจัดอาหารให้ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน”ซึ่งหากเทียบกับ เกาหลีใต้ ประเทศที่ใส่ใจอาหารกลางวันเด็กที่ดีมากแห่งหนึ่งของโลก โดยจะเน้นอาหารครบถ้วนโภชนาการ มีซุปและข้าว ปลา ผัก ผลไม้ เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น ทุกมื้อจะต้องประกอบไปด้วย ข้าว ผัก และนมสด 1 กล่อง ที่สำคัญคือ “ทั้ง 2 ประเทศมีนักโภชนาการคอยให้คำแนะนำ” เมนูที่ครบถ้วนทั้งรสชาติและคุณภาพ ที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต
ย้อนไปเมื่อ 16 ม.ค. 2562 พญ.พรรณพิมลวิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า แม้ที่ผ่านมาพบว่าเด็กไทยระดับปฐมวัย (อายุ 0-5 ปี) เตี้ยร้อยละ 10.6 ซึ่งดีขึ้นจากเดิม แต่ที่ยังคงเป็นปัญหาคือ “ภาวะอ้วน” ที่พบร้อยละ 9.1 กล่าวได้ว่า “1 ใน 10 ของเด็กปฐมวัยไทยมีภาวะอ้วน” และเช่นเดียวกับเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียนพบว่า เด็กอายุ 6-14 ปี แม้มีภาวะเตี้ยดีขึ้น แต่ก็มีปัญหาภาวะอ้วนที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13.1
จงกลนี วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้จัดการโครงการเด็กไทยแก้มใส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า หลังจากเกิดกรณีขนมจีนคลุกน้ำปลา หลายหน่วยงานต่างตื่นตัวในประเด็นการจัดการอาหารกลางวันเด็ก ซึ่งแม้ว่างบประมาณจะยังอยู่ที่ 20 บาทต่อคน แต่หากบริหารจัดการที่ดีเพียงพอก็สามารถสร้างเมนูอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการได้ แต่สิ่งที่ยังขาดคือ “นักโภชนาการท้องถิ่น” เพราะติดขัดข้อจำกัดด้านงบประมาณในการจัดจ้างที่ อปท. ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากติดปัญหาการกระจายอำนาจงบประมาณ
ขณะที่ ทรงวุฒิ มะลิวัลย์ ผู้อำนวยการสำนักงานเพื่อโครงการอาหารกลางวันโรงเรียนประถมศึกษา สพฐ. กล่าวว่า ปัญหาเรื่องคุณภาพอาหารกลางวันยังเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะสถานการณ์โภชนาการในเด็กไทย พบว่า เด็กในพื้นที่ห่างไกล ยังมีปัญหา ผอมและเตี้ย ส่วนเด็กในเมืองมีภาวะโภชนาการล้นเกิน หรือเป็นโรคอ้วนจำนวนมาก โดยที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้พัฒนาโปรแกรม “ไทยสคูลลันช์ (Thai school lunch)” ช่วยคำนวณคุณค่าทางโภชนาการ
นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ “โรงเรียนเป็นพื้นที่อาหารปลอดภัย” เช่น สนับสนุนให้ใช้วัตถุดิบอินทรีย์ ทั้งผัก เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยให้โรงเรียนที่มีพื้นที่ปลูกผักอินทรีย์ เลี้ยงไก่ ให้โรงเรียนใช้งบประมาณอาหารกลางวันซื้อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารกลางวัน หรือโรงเรียนไหนไม่มีพื้นที่ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ก็ให้ไปสนับสนุนชุมชนรวมกลุ่มปลูกพืชอินทรีย์ เพื่อนำมาขายให้โรงเรียน ก็จะทำให้โรงเรียนมีวัตถุดิบที่ปลอดภัย อีกด้านหนึ่ง“ผู้ปกครอง” ต้องมีส่วนร่วมด้วย เพราะต้องจัดหาให้กับบุตรหลานอีก 2 มื้อ ก็เป็นเรื่องที่ต้องตระหนักถึงเช่นกัน
ถึงกระนั้น “ประเด็นผู้ปกครองกับอาหารที่มีคุณภาพก็ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ” ด้วยปัจจุบันที่สภาพสังคมเปลี่ยนไปโดยเฉพาะในเมือง “ชีวิตคนยุคนี้ต้องเร่งรีบ ตื่นแต่เช้ามืดออกจากบ้านฝ่าการจราจร ผู้ปกครองไปส่งลูกที่โรงเรียนก่อนที่ตนเองจะไปทำงาน ตอนเย็นกว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ หลายคนไม่มีโอกาสได้ทำอาหารรับประทานเอง” ต้องฝากท้องไว้กับร้านหรือแผงขายอาหาร และโดยทั่วไป“ผู้ใหญ่กินอะไรเด็กก็กินตามนั้นเพื่อความสะดวกรวดเร็ว” ซึ่งอาจเป็นเพียงให้ท้องอิ่มเท่านั้น ไม่แน่ว่าจะมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนเสมอไป
มีกรณีหนึ่งที่อาจเทียบเคียงกันได้คือ “พระสงฆ์ไทยอ้วนอมโรค” ย้อนไปเมื่อ 22 พ.ย. 2561 เว็บไซต์ นสพ. The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษเรื่อง “Eat, pray, exercise: Thailand’s monks battle weight problems” ระบุว่า เบาหวาน ความดัน และข้อเข่าอักเสบ เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของพระสงฆ์ไทย สืบเนื่องจากอาหารที่ญาติโยมนิยมซื้อไปถวายมีทั้งแกงที่มีรสเผ็ดจัด ขนมหวาน น้ำอัดลมและขนมขบเคี้ยว
รายงานข่าวของสื่อสิงคโปร์ ยังกล่าวอีกว่า “ข้อมูลจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุคนไทยมีปัญหาโรคอ้วนสูงที่สุดในทวีปเอเชีย” โดยพระสงฆ์เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด ซึ่งในปี 2559 คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยสำรวจพบพระสงฆ์ในกรุงเทพฯ มีภาวะอ้วนถึงร้อยละ 48 และในจำนวนนี้เป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 42 เหตุที่พระสงฆ์เสี่ยงเป็นพิเศษนั้นมาจากพระวินัยที่ไม่ให้ปฏิเสธอาหารที่ญาติโยมถวาย ประเด็นนี้ก็อาจดูคล้ายกับบุตรหลานที่ไม่ได้ซื้ออาหารรับประทานเองแต่พ่อแม่ผู้ปกครองซื้อให้
“โภชนาการในเด็กและเยาวชนไทย” จึงไม่ได้มีปัญหาเพียงการทุจริตเท่านั้น เพราะแม้ทุกโรงเรียนจะดำเนินการอย่างโปร่งใสก็ยังได้เพียงมื้อกลางวันมื้อเดียว ส่วนมื้อเช้าและเย็นเป็นเรื่องของผู้ปกครอง “ที่นี่แนวหน้า” สัปดาห์นี้จึงขอฝากท่านผู้อ่านช่วยคิดหน่อยว่าสองมื้อที่เหลือจะทำอย่างไร เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงสมบูรณ์ เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีของประเทศชาติต่อไป!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี