ประเด็นร้อนที่ถูกกล่าวถึงในแวดวงการเงินและธนาคารขึ้นมาทันที...
เมื่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุถึงแนวทางการตั้งคณะกรรมการขึ้นมากำกับดูแลนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง เพื่อแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป ระหว่างการชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูง ที่อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562
โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการใกล้ชิด ระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานอื่นๆ พร้อมคำอธิบายว่าเพื่อทำให้นโยบายการเงินกับนโยบายการคลังไปด้วยกัน ปรึกษาหารือกันใกล้ชิด ไม่ใช่ต่างคนต่างไป
“จะบอกว่าผมอิสระ เมืองไทยไม่มีแล้วอิสระ ฉะนั้น การเงินการคลังมันต้องไปด้วยกัน มือซ้ายกับมือขวาต้องไปด้วยกัน จะมีการตั้งคณะกรรมการเร็วๆ นี้ และทุกฝ่ายเห็นชอบร่วมกันแล้ว” นายสมคิด ระบุ
ความเห็นของนายสมคิดดังกล่าว ก่อให้เกิดความวิตกกังวลกับคนจำนวนไม่น้อย
เพราะปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระ รัฐบาลโดยรองนายกฯสมคิดหรือรัฐมนตรีคลังไม่สามารถสั่งการครอบงำการดำเนินงานด้านนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เหมือนกับหน่วยราชการปกติได้ ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าว ก็เป็นการปฏิบัติที่เป็นสากล
อดีตผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ได้เขียนบทความขณะดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาที่มีข่าวคราวว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์โดยเฉพาะรัฐมนตรีคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง พยายามกดดันแทรกแซงบีบคั้นให้ธนาคารชาติดำเนินมาตรการบางอย่างตามที่ตนต้องการ
ความตอนหนึ่งว่า
“รากฐานที่จะนำมาสู่ความเป็นอิสระ ผมคิดว่าประกอบด้วย 2 ส่วน คือ “ทำในสิ่งที่ควรทำ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ” โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่มักจะให้น้ำหนักเฉพาะส่วนหลัง ก็คือ “เราไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ” หมายความว่า ถ้าเราเห็นว่าเขาทำผิดเราต้องทัดทานและไม่ยอมให้เขาบังคับให้เราทำในสิ่งที่ผิด ซึ่งจะว่าไปก็ใช่ แต่นี่เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเรื่อง
อีกครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องไม่มี ego ไม่ดื้อ คือ หากสิ่งที่เราทำหรือเชื่อ ต่อมาเห็นว่า “อาจไม่ถูกต้อง” เราต้องไม่ดื้อและเปลี่ยนมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง จึงเรียกว่า “ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ”
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ธปท. เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐที่จะต้องช่วยกันดูแลให้ประเทศก้าวหน้าไปได้ ธปท. จึงไม่สามารถเป็นอิสระจากรัฐบาลได้ทั้งหมด เช่น การดำเนินนโยบายการเงิน กฎหมายวางหลักไว้ค่อนข้างดีว่า ช่วงปลายปี กนง. ต้องเสนอเป้าหมายการดำเนินนโยบายการเงินผ่าน รมต.คลังไปยังรัฐบาล
หมายความว่า รัฐบาลมีอำนาจจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ธปท. ไม่ได้เป็นอิสระจากรัฐบาลทั้ง 100%
เมื่อรัฐบาลอนุมัติเป้าหมาย ธปท. ก็รับเป้าหมายนั้นมาดำเนินการในระยะเวลาที่เหมาะสม ด้วยเครื่องมือที่เห็นว่าเหมาะสม ส่วนหลังนี้กฎหมาให้ ธปท. สามารถดำเนินงานได้อิสระ คือ มี Operational Independence ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสากลที่ธนาคารกลางควรมีอิสระในการดำเนินงาน
ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ข้อกล่าวคือ
(1) จำเป็นต้องแยกคนพิมพ์แบงก์ออกจากคนใช้เงิน
(2) การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อผลระยะสั้นอาจก่อผลเสียระยะยาว
และ (3) บ่อยครั้งธนาคารกลางมักต้องทำเรื่องที่ไม่ popular
แต่อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าข้อกฎหมายอย่างเดียวไม่พอท้ายที่สุดต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากประชาชน
กล่าว คือ การเมืองไม่กลัว ธปท.แต่เขากลัวประชาชน ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ ธปท.ต้องดำรงสถานะให้น่าเชื่อถือ ให้ประชาชนมีความไว้วางใจ”
อ่านข้อคิดของ อดีตผู้ว่าฯดร.ประสารแล้ว ทำให้เห็นความจริงว่า นักการเมืองย่อมต้องการผลกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างรวดเร็วและในระยะสั้น โดยเฉพาะในขณะที่การเมืองขาดเสถียรภาพ นักการเมืองต้องการใช้จ่ายเงินเพื่อคะแนนนิยมแต่ไม่อยากเก็บเพิ่มภาษีอากร
แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าที่ที่สำคัญคือการรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงินซึ่งถือเป็นพันธกิจหลักของ ธปท.
ยุทธศาสตร์ด้านเสถียรภาพประกอบไปด้วย 1.เสถียรภาพการเงิน (ผ่านอัตราดอกเบี้ย) 2. เสถียรภาพระบบการเงิน 3.เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน (เช่นกำกับธนาคารพาณิชย์) และ 4. เสถียรภาพระบบการชำระเงิน ซึ่งจะมุ่งเน้นการติดตาม เท่าทัน ป้องกัน และพร้อมรับมือกับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ที่จะเป็นความท้าทายต่อเสถียรภาพด้านต่างๆ
และในการตัดสินใจมาตรการ ที่สำคัญเช่นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยก็มีคณะกรรมการอิสระประกอบด้วยเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐและผู้ทรงคุณวุฒิอยู่แล้ว
อดีต รมว.คลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ได้ให้ความเห็นในเรื่องที่รองนายกฯสมคิดดำริจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อขึ้นมาประสานนโยบาย ระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารชาติว่า
“มาถึงวันนี้ นักวิเคราะห์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะจับตามอง ดร.วิรไท ว่ามีกึ๋นและฟุตเวิร์ก จะลอยตัวพลิ้วได้พอหรือไม่ หรือจะนอนนิ่งยอมรับการบีบจากภาคการเมือง คำกล่าวที่ว่า “นโยบายการเงินกับนโยบายการคลังจะต้องไปด้วยกัน” นั้น แสดงว่า (รองนายกฯสมคิด)ไม่เข้าใจเรื่องนโยบายการเงิน นโยบายการเงินไม่จำเป็นต้องล้อเลียนนโยบายการคลัง และอาจจำเป็นต้องคานอำนาจนโยบายการคลังด้วยซ้ำ
ตัวอย่างเช่น เมื่อใดที่รัฐบาลตะบี้ตะบันใช้จ่ายเกินตัว ถ้าทำนโยบายการคลังผ่อนคลายแบบเว่อร์ จนเกินพอดี เมื่อนั้นแบงก์ชาติอาจต้องขึ้นดอกเบี้ย และทำนโยบายการเงินแบบตึงตัว เพื่อถ่วงดุล
การตั้งคณะกรรมการ ก็คือการเอาหลายๆ หน่วยงานมาร่วมประชุม เพื่อจะใช้หลายคนช่วยกันบีบผู้ว่าฯแบงก์ชาติ และถ้าไม่มีผู้ว่าที่ float like a butterfly ได้เหมือนดังดร.ประสาร ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติก็จะขาดกระจุย
แทนที่จะตั้งคณะกรรมการ รัฐมนตรีคลังควรจะนัดประชุมกับแบงก์ชาติบ่อยๆ เพื่อจับเข่าคุยกัน อันจะเป็นการให้เกียรติแก่กัน ผมเคยแนะนำอย่างนี้ผ่านเฟซบุ๊คแก่รัฐมนตรีคลังคนก่อนหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นทำอย่างนั้น รัฐมนตรีคลังคนใหม่ก็คงเหมือนกัน เพราะโตมาทางแบงก์พาณิชย์เช่นกัน ก็คงไม่ค่อยกล้าเอ่ยปากกับผู้ว่าเท่าใด จึงต้องอาศัยมือของท่านรองนายกฯ ตั้งคณะกรรมการ เอาคนจำนวนมากเข้ามาช่วยบีบ
การจะมีอิทธิพลโน้มน้าวแบงก์ชาติได้นั้น มีวิธีชาญฉลาด ที่ทำได้อย่างนุ่มนวล บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น กับวิธีไม่ฉลาด ที่ใช้อำนาจดิบ - จะบอกผมว่า แบงก์ชาติจะต้องอิสระเหรอ เมืองไทยไม่มีแล้ว ไม่เหลือองค์กรที่อิสระแล้ว(หลายองค์กรเลยแหละ) การจัดตั้งกรรมการทำนองนี้ เป็นวิธีไม่ฉลาดอย่างแน่นอน”
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี