รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเป็นระยะเวลามากกว่า 30 ปี ที่จะควบคุมการบริโภคของประชาชนจากสินค้าบริโภคที่ก่อให้เกิดโรคภัยมาสู่ประชาชนและยังผลให้รัฐบาลต้องเพิ่มงบประมาณทางด้านสาธารณสุขเป็นจำนวนมากในการรักษาประชาชนที่เป็นผู้ป่วยสินค้าเหล่านี้ ก็คือ สุรา, ไวน์, เบียร์, บุหรี่ และยาสูบ
รัฐได้ใช้อัตราภาษีสรรพสามิตเป็นตัวกำหนดและควบคุมปริมาณการบริโภคของประชาชนและมีสมมุติฐานว่าอัตราภาษีสูงจะทำให้สินค้ามีราคาแพงประชาชนย่อมจะลดอัตราการบริโภคลงเพราะไม่มีกำลังซื้อสินค้ามากพอนโยบายนี้ที่เห็นได้ผลดีทันใจก็คือบุหรี่ซิกาแรตและยาสูบขายได้น้อยลงทำให้กำไรของการยาสูบแห่งประเทศไทยลดลงทันที
เดิมการยาสูบแห่งประเทศไทยเป็นรัฐวิสาหกิจที่ทำรายได้ส่งรัฐมากทุกปีจากสถิติในปีงบประมาณ 2552 ถึงปีที่แล้วคือปี 2561 พบว่ารายได้ของการยาสูบแห่งประเทศไทยลดเพราะบุหรี่มีราคาสูงทำให้ผู้สูบต้องเลิกการซื้อบุหรี่ของรัฐหันไปบริโภคยาเส้นและซื้อบุหรี่ต่างประเทศหนีภาษีมาสูบแทนเพราะมีราคาต่ำกว่า
สถิติรายได้ของการยาสูบฯใน 10 ปีงบประมาณมีดังนี้ ปี 2552 รายได้ 50,473.20 ล้านบาท ปี 2553 รายได้ 59,081.46 ล้านบาท ปี 2554 รายได้ 62,648.17 ล้านบาท ปี 2555 รายได้ 63,042.32 ล้านบาท ปี 2556 รายได้ 70,183.39 ล้านบาท ปี 2557 รายได้ 61,892.21 ล้านบาท ปี 2558 รายได้ 61,984.89 ล้านบาท ปี 2559 รายได้ 65,237.80 ล้านบาท ปี 2560 รายได้ 68,175.70 ล้านบาท ปี 2561 รายได้ 51,565.67 ล้านบาท
ส่วนผลกำไรในระยะ 10 ปีนั้น กำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายมีดังนี้ปี 2552 กำไร 5,803.66 ล้านบาทปี 2553 กำไร 5,817.62 ล้านบาท ปี 2554 กำไร 5,788.50 ล้านบาท ปี 2555 กำไร 6,655.75 ล้านบาท ปี 2556 กำไร 7,480.93 ล้านบาท ปี 2557 กำไร 6,275.16 ล้านบาท ปี 2558 กำไร 7,105.18 ล้านบาท ปี 2559 กำไร 8,861.12 ล้านบาท ปี 2560 กำไร 9,343.33 ล้านบาท ปี 2561 กำไร 843.25 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบรายได้ในระยะ 10 ปี และกำไรในระยะ 10 ปี พบว่า ปี 2560 เป็นปีที่การยาสูบฯมีรายได้สูงสุดและมีกำไรสูงสุดด้วยเกือบ 10,000 ล้านบาท ถึงปี 2561 มีอัตราภาษีและการปรับราคาใหม่ทำให้รายได้หดไปถึง 16,610.03 ล้านบาท และในปีนี้คือปี 2562 ยอดขายลดลงอย่างฮวบฮาบคาดว่ารายได้จะลดมากทำให้การยาสูบฯจำต้องลดการรับซื้อใบยาจากชาวไร่เพราะบุหรี่ยอดขายลดแบบน่าตกใจในขณะที่กำไรนั้นก็ลดเทียบปี 2560 กับปี 2561 พบว่ากำไรลดลงถึง 8,500 ล้านบาท คาดว่าปี 2562 นี้การยาสูบฯน่าจะขาดทุนเป็นปีแรกในรอบ 80 ปี ที่ตั้งโรงงานผลิตบุหรี่มาตั้งแต่ปี 2482
มีนักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่านหนึ่งคือ รศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ ได้วิเคราะห์นโยบายนี้ของรัฐบาลทางวิชาการว่าการขึ้นภาษียาสูบของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วเพราะการใช้นโยบายภาษีคือมาตรการสากลที่ทุกประเทศใช้เพื่อลดการบริโภคบุหรี่แต่ไทยซึ่งเป็นประเทศที่ยังต้องพึ่งพาเกษตรกรรมและมีการปลูกยาสูบกันอยู่เป็นจำนวนมากจึงทำให้เกิดแรงต้าน
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการวางแผนการขึ้นภาษีให้เป็นระบบเป็นโรดแมประยะกลางถึงระยะยาวเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกส่วนได้รับทราบและทยอยปรับตัวได้จากรายงาน WHO report on the global tobacco epidemic 2019 ขององค์การอนามัยโลกที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่าในปี 2561 สัดส่วนภาษีบุหรี่ในไทยสำหรับบุหรี่ยี่ห้อที่ขายดีที่สุด อยู่ที่ 78.6% ของราคาขายปลีก ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับที่ 23 ของโลก และสูงเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชียตะวันออก และในอาเซียนล้ำหน้าประเทศพัฒนาแล้วอย่างออสเตรเลีย และสิงคโปร์
โดยสัดส่วนดังกล่าวสำหรับไทยคำนวณจากบุหรี่ที่ราคาซองละ 60 บาท ซึ่งเป็นบุหรี่ที่ขายดีที่สุดชี้ให้เห็นว่าการใช้มาตรการภาษีเพื่อลดความจูงใจในการบริโภคสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่ เป็นเรื่องที่เหมาะสมและระบบภาษียาสูบไทยเดินมาถูกทาง หลังจากนี้สิ่งที่รัฐควรทำคือการจัดทำโรดแมปการขึ้นภาษีบุหรี่ให้มีความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจตอบโจทย์รัฐทั้งด้านสาธารณสุขและการคลัง
อีกทั้งด้วยระดับการพัฒนาของเศรษฐกิจไทยซึ่งอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางดังนั้นจึงถือได้ว่าอัตราภาษีบุหรี่ของบ้านเราถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ของประชาชนไทยคนละ 20,045 บาทต่อเดือน ภาษีบุหรี่ไทยสูงติดอันดับต้นๆ ของโลกจาก 195 ประเทศ ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูประบบภาษีสรรพสามิตเมื่อเดือนก.ย. 2560 ทำให้ระบบโครงสร้างภาษียาสูบใกล้เคียงแนวปฏิบัติสากลและมีผลให้อัตราภาษีบุหรี่ต่อราคาขายปลีกสูงติดอันโลก อีกทั้งกรมสรรพสามิตยังได้ตัดสินใจขึ้นภาษียาเส้นไปถึง 19 เท่า
วิธีหนึ่งที่สามารถช่วยได้คือการประกาศโรดแมปการขึ้นภาษีระยะยาวแบบค่อยเป็นค่อยไปตามปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องเป็นการประกาศพันธสัญญาในการคุ้มครองสุขภาพของประชาชน และคำนึงถึงเป้าหมายด้านสาธารณสุขของประเทศขณะเดียวกันก็ให้ชาวไร่ได้ทราบแนวทางที่ชัดเจนจะได้ปรับตัวได้ด้วยวิธีนี้จะช่วยลดแรงต้านและผลกระทบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นี่เป็นความเห็นของนักวิชาการแต่นักการเมือง 3 ท่าน คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข และนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง จะเห็นด้วยหรือไม่ยังไม่ทราบ
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี