ในขณะที่รองนายกฯ เมื่อถูกจี้ถามเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ได้ออกมาบอกว่า ยังไม่มีแผนแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าฝ่ายการเมือง ต้องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคการเมืองมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามหลังจาก กกต. มีมติเห็นชอบยุบพรรคพรรคประชาชนปฏิรูป ของนายไพบูลย์ โดยเป็นที่คาดว่าจะเข้าไปเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐนั้น? ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย ทั้งถูกมองว่า เป็นการควบรวมพรรคของฝ่ายรัฐบาล? หรือเป็นการป้องกันที่นั่ง สส. ของพรรคตัวเองหลุดไป?
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลมากที่สุดคือ การยุบพรรคประชาชนปฏิรูปของนายไพบูลย์นั้น จะเป็นโมเดลให้พรรคจิ๋วฝ่ายรัฐบาลที่เหลือ ทำตามหรือไม่? อย่างไรก็ดีประเด็นหลักของการยุบพรรคตัวเองนั้น เหล่านักวิเคราะห์ก็มองว่า อาจมาจากสองสาเหตุหลัก ๆ หรือไม่? คือ
1.เพื่อป้องกันการเสียตำแหน่ง สส. ของเหล่าพรรคจิ๋วหากเกิดการเลือกตั้งซ่อม อย่างในกรณีของ นครปฐม เขต 5 ที่หากมีการเลือกตั้งซ่อมขึ้น อาจเกิดการขยับของ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งพรรคที่ได้คะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์น้อย ย่อมเป็นกังวลถึงปัญหาดังกล่าว
2.เพื่อสร้างเอกภาพของฝ่ายรัฐบาล จากสถานการณ์เสียงปริ่มน้ำในปัจจุบัน ดังนั้นหากให้เหล่าพรรคจิ๋วยุบพรรคตัวเองเพื่อเข้าร่วมกับพรรคหลักๆ ย่อมดูจะปลอดภัยกว่าสำหรับฝ่ายรัฐบาลใช่หรือไม่?
ซึ่งก็สอดคล้องกับท่าทีของพรรคหลักของฝ่ายรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ หลังได้ พล.อ.ประวิตร เข้ามานั่งเก้าอี้เป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค ก็ได้ออกแอ๊กชั่นมากขึ้นถึงความสำคัญในเรื่องของเอกภาพพรรค สังเกตได้จากการที่ พล.อ.ประวิตร กำชับบรรดารัฐมนตรีของพรรค ให้เลือกสวมหมวกให้ชัดเจน ว่า จะเป็น สส. หรือรัฐมนตรี เพื่อในการประชุมสภาฯ จะได้มีจำนวน สส. ที่แน่นอน จากจังหวะที่สอดคล้องดังกล่าวนี้เอง หลายฝ่ายจึงโจมตีว่าการที่นายไพบูลย์ยุบพรรคตัวเองนั้น แม้จะยังไม่มีการแสดงเจตจำนงเป็นลายลักษณ์อักษร แต่สุดท้ายก็เป็นที่คาดการณ์ว่าทำไปเพื่อเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ดี แม้จะยังไม่ทราบว่าผลจะออกมาทางไหน แต่ด้านฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยเอง ก็กังวลถึงปัญหาดังกล่าวว่าอาจจะเกิดขึ้นกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน อย่างพรรคอนาคตใหม่ ด้วยเงื่อนไขที่ว่า หากกลับกันนายไพบูลย์ไม่สามารถเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้ได้ ก็อาจจะทำให้คะแนนของนายไพบูลย์หล่นหายไป และหมดสภาพความเป็น สส. ซึ่งอาจกลายเป็นบรรทัดฐาน ที่ทางพรรคอนาคตใหม่อาจจะต้องเจอ หากโดนยุบพรรคจริง?
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวก็ถือเป็นเรื่องในอนาคต หากกระบวนการทางกฎหมายตัดสินว่ามีความผิดจริง ก็ต้องว่าไปตามนั้น แต่เรื่องดังกล่าว กลับมีการแสดงปฏิกิริยาบางอย่าง ที่เริ่มมีความชัดเจนและจับต้องได้ คือการที่นางสาวพรรณิการ์ วานิชโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ออกมาพูดต่อสื่อ ประกาศกร้าวไปยังพรรคเพื่อไทยให้เอาเวลาไปตรวจสอบคณะรัฐมนตรีเสียอย่างนั้น? แม้ว่าที่พรรคเพื่อไทยออกมาพูดนั้น เพราะมีท่าทีเป็นห่วงถึงกรณีดังกล่าว จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตอกย้ำปัญหารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แต่กำลังได้รับการแก้ไข ส่วนฝ่ายค้านที่เข้มแข็งกลับกำลังจะเกิดปัญหาเสียงระส่ำหรือไม่? ก็น่าเป็นห่วงว่าสถานการณ์ของฝ่ายค้านหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะดูแล้วปัญหาเสียงปริ่มน้ำที่ทางฝ่ายรัฐบาลประสบอยู่ เริ่มจะทุเลาลงแล้ว ด้วยกระแสข่าวที่ว่าอาจจะมีเสียงสนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้น และการจัดสรรเก้าอี้พรรคร่วมที่ลงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะภายหลังการจัดการเก้าอี้กรรมาธิการในอนาคตอันใกล้นี้ ก็อาจจะสามารถแก้ปัญหาพรรคจิ๋วได้หมดไป
นอกจากนี้เหล่านักวิเคราะห์ประเมินอีกว่าอาจมีเสียงข้ามฝั่งมาอย่างน้อย 6 – 8 เสียงหรือไม่? ท่ามกลางกระแสข่าวการสนับสนุนรัฐบาล ของ สส.อีสาน ในขณะที่ยังเป็น สส. ของพรรคฝ่ายค้าน หรือการที่พรรคเศรษฐกิจใหม่ประกาศใช้เอกสิทธิ์ที่จะพิจารณาในการลงมติสวนทางกับพรรคร่วมรัฐบาลในบางประเด็น ซึ่งในบางประเด็นที่ว่านั้น จะเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อฝ่ายค้านด้วยกันเองในภายหลังหรือไม่? ต้องติดตามดูต่อไป
เมื่อพูดถึงพรรคอนาคตใหม่แล้ว ในช่วงนี้ก็ถูกประเมินเกมไว้ว่า การเดินเกมในสภาฯทำได้ดีกว่าพรรคเพื่อไทย แม้จะถือว่าเป็นมือใหม่ แต่ก็มีความขยันในการเล่นประเด็น ซึ่งหากปล่อยให้มีการสั่งสมเวลาและประสบการณ์อีกสักเล็กน้อย ก็เชื่อว่าจะไปได้ไกล แต่อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ก็ยังถือว่าเป็นดาวรุ่งจากแถวสองที่ยังเป็นรองรุ่นพี่ใหญ่ก็คือพรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อชั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ พรรคอนาคตใหม่จึงยังไม่สามารถกำหนดเกมได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังประสบภาวะเช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยอย่างหนึ่ง นั่นก็คือแกนนำพรรคไม่ได้อยู่ในสภาฯ ทำให้การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของพรรคฝ่ายค้าน ยังไม่สามารถต่อกรกับประธานสภาฯ ได้ แม้จะมีจังหวะหลายครั้งที่น่าจะเอื้อต่อเกมการเมืองในสภาฯ ของฝ่ายค้านก็ตาม
อนึ่งทางด้านแกนนำของพรรคฝ่ายค้าน อย่างคุณหญิงสุดารัตน์เองก็จำเป็นต้องมีพื้นที่ในการเดินเกมทางการเมือง ซึ่งหากไม่สามารถเดินเกมในสภาฯ ได้ ก็ต้องมาเดินเกมนอกสภาฯ ดังจะเห็นได้จากการเตรียมแผนที่จะผลักดันทีมเลือกตั้งท้องถิ่นเช่นเดียวกันกับพรรคอนาคตใหม่ และก็เริ่มที่จะมีบุคคลที่ได้มีชื่อเสียง ตบเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ผ่านทางคุณหญิงสุดารัตน์ จึงเชื่อได้ว่า ศึกชิงเลือกตั้งท้องถิ่นที่อาจจะถึงนี้ พรรคเพื่อไทยคงต้องสู้เต็มที่
อย่างไรก็ตาม ก็มีกระแสข่าวว่ามีการตกลงร่วมเป็นพิเศษหรือไม่? กับพรรคอนาคตใหม่ในบางพื้นที่เพื่อไม่ให้เกิดการแข่งขันกัน เพื่อป้องกันการแพ้ทั้งคู่? ซึ่งก็ต้องจับตาดูต่อไปว่าจะมีบางจังหวัด ที่อาจจะลงเพียงแค่พรรคใดพรรคหนึ่งหรือไม่? อย่างจังหวัดนนทบุรี และ บึงกาฬ รวมถึงสมุทรปราการ หลังมีการลงพื้นที่ เช็คฐานเสียงไว้แล้ว? ซึ่งจังหวัดเหล่านี้ล้วนเป็นจังหวัดเป้าหมายของพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงกรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทยจึงอาจจะยอมหลีกทางให้ เพื่อป้องกันการแย่งฐานเสียงกลุ่มเดียวกันใช่หรือไม่? แต่หากความมั่นใจของพรรคอนาคตใหม่มีถึงขีดสุด บวกกับรอยร้าวที่เริ่มขยายขึ้นของการคิดต่างที่เริ่มมีหลายครั้งของพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ อาจนำไปสู่การแข่งขันที่สมบูรณ์ ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ กทม. ทั้งผู้ว่าฯและ สก. ด้วยหรือไม่?
แม้ผังการเลือกตั้งท้องถิ่นจะยังไม่ถูกกำหนด แต่ก็เชื่อกันว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว ดังนั้นหลายพรรคจึงเริ่มเฟ้นหาผู้สมัคร เพื่อเตรียมรณรงค์หาเสียงกันแล้ว ซึ่งในการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ก็มีการตั้งข้อสังเกตอยู่ 4 ข้อ ที่ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ กล่าวคือ
1.ข้อกฎหมายใหม่ จากที่มีการแก้ไขกฎหมายจัดตั้ง อปท. และได้บังคับใช้ไปเมื่อ 17 เม.ย. 2562 นั้น จะพบว่าในครั้งนี้มีความแตกต่างจากครั้งก่อนๆ อย่างที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องความเข้มข้นในคุณสมบัติของตัวบุคคลผู้สมัครมากขึ้น ทั้งหลักเกณฑ์เรื่องอายุ วาระการดำรงตำแหน่ง
2.ช่วงเวลาของการเลือกตั้งท้องถิ่น สังเกตได้ว่ามีความข้องเกี่ยวกับกระแสพรรคอยู่ไม่น้อย ถ้าหากเกิดการเลือกตั้งขึ้นปลายปีนี้ กระแสของพรรคพลังประชารัฐ คงอาจไม่กลับมาเข้มแข็งเหมือนตอนเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่ยังมีกระแสอยู่มาก แต่หากล่วงเลยไปถึงต้นปี หรือกลางปีหน้า เชื่อว่ากระแสรัฐบาลน่าจะกลับมาเข้มแข็ง เพราะตอนนี้ก็เริ่มมีทิศทางเช่นนั้นแล้ว ในทางตรงข้ามหากปล่อยไปอีกสักพักความเป็นอิสระของพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่จะมีมากขึ้น และจะส่งผลต่อการตัดคะแนนกันเอง ช่วงเวลาการเลือกตั้งจึงมีผลต่อการแข่งขัน
3.ฐานการเมืองประเทศมีผลต่อฐานการเมืองท้องถิ่นหรือไม่? แน่นอนว่าการเมืองท้องถิ่นถือเป็นรากฐานความสำเร็จของการเมืองในระดับชาติ ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ต่างก็ต้องการชิงชัยในพื้นที่ท้องถิ่นทั้งนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถือพื้นที่จังหวัดนครพนม ที่ดูๆ แล้วมีแววจะกลายเป็นศึกมะรุมมะตุ้ม ทั้งพรรคพลังประชารัฐ อนาคตใหม่ เพื่อไทย ที่ต่างก็มีตัวเก็งส่งลงสมัครเลือกตั้งแล้วทั้งสิ้น
4.อำนาจรัฐ หากพรรคพลังประชารัฐใช้อำนาจรัฐบาล ในการแก้ปัญหาให้ประชาชน โดยเฉพาะในภูมิภาคอีสาน ในช่วงนี้จนถึงปลายปี้ได้ ก็เชื่อว่าอาจจะเกิดผลในการเปลี่ยนแปลงคะแนนนิยมในพื้นที่ได้ สะท้อนจากทิศทาง สส. พรรคเพื่อไทยเอง ที่เริ่มเปลี่ยนทิศทางลมแล้ว
ดูเหมือนว่า คสช. จะแปลงร่าง และปรับตัวเข้าสู่ระบบการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญได้เร็วกว่าที่คิด ในขณะที่ยังมีอำนาจของเครื่องมือต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญช่วยสนับสนุนในการบริหารประเทศ ประกอบกับเกมการเมืองในสภาฯ ไม่ได้ดุเดือดอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ตอนแรก จึงทำให้ดูเหมือนรัฐบาลประยุทธ์จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ไม่ยากหลังจากนี้
“…จะมีชีวิตอยู่โดยทรงคุณค่าเป็นที่ลำบากก็จริง
จะตายให้มีคุณค่ายิ่งยากเข็ญกว่ามากนัก…”
(โกวเล้ง จากฤทธิ์มีดสั้น)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี