ยังคงต้องติดตามกันต่อไปสำหรับ “การชุมนุมประท้วงบนเกาะฮ่องกง” ที่คนภายนอกต่างก็แบ่งข้างเชียร์กันไประหว่างฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ โดยยกเหตุผลเรื่องความรักชาติพร้อมกับมองโลกตะวันตกเป็นผู้ร้าย กับฝ่ายสนับสนุนผู้ประท้วงชาวฮ่องกงที่รู้สึกเห็นใจไม่อยากให้ถูกจีนที่เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จครอบงำ ด้วยเห็นว่าฮ่องกงสมัยอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ แม้ไม่ได้เลือกตั้งผู้บริหาร แต่ผู้คนยังมีสิทธิและเสรีภาพด้านอื่นๆ เต็มที่
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนา “มองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้” ซึ่งหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศจีน ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ที่เริ่มตั้งแต่ปี 1839 (พ.ศ.2382) ที่จีนสมัยราชวงศ์ชิงรบแพ้อังกฤษในสงครามฝิ่น ต้องเสียเกาะฮ่องกงให้กับอังกฤษ
“พรรคคอมมิวนิสต์จีนถือเอาเหตุการณ์สงครามฝิ่นเป็นปีแรกในช่วงเวลาแห่งความอัปยศ” เพราะหลังจากนั้นชาติตะวันตกอื่นๆ รวมถึงเพื่อนบ้านทางตะวันออกอย่างญี่ปุ่น ต่างเข้ามาแบ่งผลประโยชน์บนแผ่นดินจีนอย่างสนุกมือ ขณะที่คนจีนมีแต่ความทุกข์ยากเกิดกบฏขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมีการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิงในปี 1911 (พ.ศ.2454) โดยพรรคก๊กมินตั๋ง สิ้นสุดยุคจักรพรรดิเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ ความวุ่นวายก็ยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่ง “วันที่ 1 ตุลาคม 1949 (พ.ศ.2492)” เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เข้าสู่อำนาจ แผ่นดินจีนจึงได้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ถึงกระนั้นรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์และชาวจีนก็ต้องผ่านการลองผิดลองถูก เช่น ผู้นำสาธารณรัฐประชาชนจีนยุคที่ 1 เหมา เจ๋อ ตุง อยากเห็นเศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด จึงส่งเสริมให้นำโลหะทุกชนิดมาหลอมรวมกันหวังว่าจะกลายเป็นเหล็กกล้านำไปสร้างอุตสาหกรรม แต่กลายเป็นเอาไปใช้อะไรไม่ได้ หรือส่งเสริมให้กำจัดนกกระจอกด้วยเข้าใจว่าเป็นศัตรูพืช หวังว่าถ้าไม่มีนกกระจอกเกษตรกรจะเพาะปลูกได้ผลผลิตมากขึ้น แต่ผลที่ได้คือระบบนิเวศเสียหาย และเกิดภัยพิบัติจนชาวจีนเสียชีวิตไปนับล้านคน
ส่วนผู้นำจีนยุคที่ 2 เติ้ง เสี่ยว ผิง คิดต่างออกไปดังคำคมที่คุ้นหู “แมวสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้มันจับหนูได้ก็พอ” นำไปสู่การริเริ่มนำกลไกตลาดในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้ ต่อมาในยุคที่ 3 เจียง เจ๋อ หมินผู้เคยทำงานในเซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่ของจีนที่ทันสมัยและคุ้นเคยกับระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตก จีนเริ่มปรากฏบทบาทในเวทีโลก เช่น เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO)
ผู้นำจีนยุคที่ 4 หู จิ่น เทา ทายาททางการเมืองที่เติ้ง เสี่ยว ผิง วางตัวไว้หลังเจียงหมดวาระ โดยให้เหตุผลว่าในวัยหนุ่ม หูเคยอาสาไปทำงานในพื้นที่ยากจน ซึ่งเติ้ง คาดการณ์ไว้แล้วว่าหากเศรษฐกิจจีนเจริญก้าวหน้าไปมาก ย่อมเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกระจายรายได้ของคนรวย-คนจน การที่จีนมีผู้นำที่เข้าใจความยากจนน่าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยในยุคของ หู จิ่น เทา จีนได้แซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก
แต่แล้วเมื่อถึงผู้นำจีนยุคที่ 5 สี จิ้น ผิง จีนได้รับผลกระทบจากวิกฤติซับไพรม์ (Subprime) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี พ.ศ.2550-2551 ก่อนจะลามไปทั่วโลก และมาถึงจีนช่วงปี 2555-2556 เมื่อจีนส่งออกสินค้าได้น้อยลงเพราะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และยุโรปไม่มีกำลังซื้อ สี จิ้น ผิง ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง เห็นว่าการที่จีนผูกกับเศรษฐกิจโลกมากเกินไปไม่เป็นผลดี จึงปฏิรูปใหญ่อีกครั้งด้วย 2 นโยบาย
1.Made in China 2025 ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากเน้นส่งออกถึงร้อยละ 80 มาเป็นเน้นการบริโภคในประเทศให้มากกว่าร้อยละ 60 ด้วยการทำให้
คนจีนมีรายได้สูงขึ้นเพื่อให้เพิ่มกำลังซื้อ พร้อมกับปรับปรุงสินค้าจีนให้เป็นสินค้าคุณภาพ ซึ่งอย่างหลังนี้รัฐบาลแดนมังกรทำโดยออกเงื่อนไขว่าบริษัทด้านเทคโนโลยีจากต่างประเทศ หากจะมาลงทุนในจีนต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีน อันเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่พอใจอย่างมาก มองว่าไม่เป็นธรรม จึงตอบโต้ด้วยสงครามการค้า (Trade War)
กับ 2.Belt and Road จีนออกไปหาแหล่งทรัพยากรและตลาดภายนอก ในช่วงแรกใช้คำว่า “One Belt One Road” ขยายเส้นทางทั้งทางรถไฟ ถนน ท่าเรือ ไปกว่าครึ่งโลก จนหลายประเทศรู้สึกไม่สบายใจเพราะอาจกระทบต่ออธิปไตยในดินแดนของตน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “Belt and Road Initiative” และอธิบายว่าเป็นหน้าที่ของแต่ละประเทศต้องคิดโครงการพัฒนาขึ้นเอง จีนจะทำเพียงดูว่าจะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปได้บ้างอีกทั้งไม่ได้พูดแต่เรื่องเศรษฐกิจ ยังรวมไปถึงความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม แบ่งปันเทคโนโลยี ฯลฯ พูดง่ายๆ คือลดภาพแข็งกร้าวลง
นักวิชาการผู้นี้ ยังกล่าวถึง “ความฝันของจีน”ที่พูดกันมาตั้งแต่สมัย เจียง เจ๋อ หมิน และสมัย สี จิ้น ผิง ก็ยิ่งขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นขึ้น ว่าต้องบรรลุเป้าหมาย 3 ประการ1.คนจีนต้องมีรายได้เฉลี่ย 1 หมื่นหยวนต่อคนต่อปีภายในปี 2021 (พ.ศ.2564) หรือครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งปัจจุบันบรรลุเป้าหมายนี้แล้ว 2.ต้องสร้างสังคมเข้มแข็งและทันสมัยในปี 2049 (พ.ศ.2592) หรือครบรอบ 100 ปีสาธารณรัฐประชาชนจีน
และ 3.ต้องมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งการได้เกาะฮ่องกงคืนจากอังกฤษถือเป็นการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายมานาน อย่างไรก็ตาม ตอนที่อังกฤษคืนเกาะฮ่องกงให้จีน มีข้อตกลงว่าจีนต้องคงระบบกฎหมาย เศรษฐกิจและสังคมของฮ่องกงแบบเดิมไว้เป็นเวลา 50 ปี หรือในปี 2047 (พ.ศ.2590) อนึ่ง “ในตอนที่จีนปิดประเทศ ฮ่องกงเป็นนายหน้าระหว่างจีนกับโลกภายนอก ฮ่องกงจึงร่ำรวยจากการส่งออก แต่เมื่อจีนเปิดประเทศ การส่งออกผ่านฮ่องกงมีแต่จะลดน้อยลงเรื่อยๆ” เศรษฐกิจของฮ่องกงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจีนอย่างมีนัยสำคัญอีกต่อไป
อาทิ ปัจจุบันเศรษฐกิจฮ่องกงโตร้อยละ 2-3 ต่อปี ในขณะที่ เสินเจิ้น โตร้อยละ 7 ต่อปี สำนักงานใหญ่ของกิจการด้านเทคโนโลยีชั้นนำของจีนอย่าง Huawei, DJI,
Tencent ล้วนตั้งอยู่เสินเจิ้น มีเพียงตลาดเงิน-ตลาดทุนเท่านั้นที่ยังพึ่งพาฮ่องกงเพราะคล่องตัวกว่าและเป็นระบบตะวันตกที่นานาชาติให้การยอมรับมากกว่า ในทางกลับกันน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภค ร้อยละ 70 และกระแสไฟฟ้า 1 ใน 4 ที่ใช้บนฮ่องกงนั้นซื้อจากจีนแผ่นดินใหญ่
การวิเคราะห์ของอาจารย์ปิติ ดูจะสอดคล้องกับรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ที่อ้างถึง“คลิปเสียง” ของผู้ปกครองเกาะฮ่องกง แครี แลม ซึ่งกล่าวกับคณะนักธุรกิจ โดยตอนหนึ่งระบุว่า “จีนจะไม่ปราบปรามผู้ชุมนุมในฮ่องกง แต่จะปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อจนเศรษฐกิจฮ่องกงไปต่อไม่ไหว” แล้วผู้ชุมนุมก็จะต้องสลายไปเองในที่สุด “แต่จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?” เพราะล่าสุดแม้ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แครี แลม จะประกาศถอนร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน อันเป็นชนวนเหตุแรกของการประท้วงไปแล้วก็ตาม
แต่ผู้ชุมนุมบางส่วนยังยืนยันจะประท้วงต่อไป..ซึ่งก็ไม่รู้จะจบลงอย่างไร!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี