ถ้านำเอาพระเครื่อง และบรรดาของขลัง เหล็กไหล วัตถุมงคล ภาพวาดศิลปะ วัตถุโบราณ ฯลฯ ที่ สส.แจ้งในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. นำออกมาจัดแสดง
เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
คาดว่า ส่วนใหญ่คนจะมาดู เพราะอยากจะรู้ว่า มันของจริง หรือของเก๊
แล้วที่บางคน แจ้งมูลค่าของขลังในความครอบครองของตนเองไว้มากๆ นั้น ตั้งแต่ 50 – 1,000 ล้านบาท เป็นการแจ้งตามมูลค่าจริง หรือว่าขี้โม้ไว้ก่อน เพื่อให้ดูมีทรัพย์สินมูลค่าเยอะๆ แถมเผื่อทำงานแล้วได้เงินสกปรกเข้ามาเติม ก็จะได้อ้างว่าทรัพย์สินรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเลย แค่ขายของขลังออกไปเท่านั้นเอง
1. นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทย แจ้งครอบครองของขลังจำนวนมาก มูลค่ารวมพันกว่าล้านบาท อาทิ
เหล็กไหลช่อ (โคตรเหล็กไหล) แจ้งมูลค่า 700 ล้านบาท ได้มาเมื่อวันที่
1 ก.พ. 2537
เหล็กไหลก้อน (มหาเหล็กไหล) แจ้งมูลค่า 300 ล้านบาท ได้มาเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2538
อุกกาบาต (อุกามณีดำ) แจ้งมูลค่า 10 ล้านบาท ได้มาเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2540
สมเด็จวัดระฆังพิมเกตุบัวตูม 1 องค์ แจ้งได้มาเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2541 มูลค่า 15 ล้านบาท
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐาน 16 ซม. 1 องค์ ได้มาเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2542 มูลค่า 15 ล้านบาท
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ 1 องค์ ได้มาเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2542 มูลค่า 15 ล้านบาท
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่เกศทะลุซุ้ม 1 องค์ ได้มาเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2543 มูลค่า 15 ล้านบาท เป็นต้น
ที่ฮือฮาสุด คือ โคตรเหล็กไหล และ มหาเหล็กไหล 2 ก้อน มูลค่ารวมพันล้านบาท !
นายคฑาเทพอ้างว่า สำหรับเหล็กไหลทั้ง 2 ก้อน (เหล็กไหลช่อ, เหล็กไหลก้อน) ได้มาเมื่อประมาณปี 2537-38 มีชาวบ้านได้มาแล้วเก็บไปบูชา แต่เกิดเรื่องไม่ดีกับคนที่เก็บมา เลยให้ตนฟรีๆ เพราะเหมือนเขาเห็นเราเคยมีบุญคุณ ทีนี้มาได้รับเหล็กไหล 2 ก้อนนี้ มาอยู่กับตัวก็มีแต่สิ่งดีๆ ขออะไรก็ได้สมปรารถนาถ้าเกิดตนขออะไรแล้วสมหวังขอให้ยกขึ้น ไม่สมหวังขอให้ยกไม่ขึ้น (น้ำหนักเหล็กไหลประมาณ 20 กิโลกรัม)
นายคฑาเทพยังอธิบายเรื่องราคาเหล็กไหลด้วยว่า ในช่วงที่ข่าวโด่งดัง มีบุคคลจากต่างประเทศที่สนใจเรื่องของขลัง ติดต่อมาขอซื้อจำนวน 700 ล้านบาท เลยแจ้งมูลค่าตัวเลขนี้แก่ ป.ป.ช. อย่างไรก็ตาม ต่อให้มีคนขอซื้อราคาสูงเป็นพันล้านบาทก็ไม่ขาย
เช่นเดียวกับอุกกาบาตร มูลค่า 10 ล้านบาทนั้น นายคฑาเทพก็อ้างว่า เคยมีคนมาขอซื้อต่อ 10 ล้านบาท จึงแจ้งมูลค่าเท่านี้เช่นกัน
2. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพรรคไทยศรีวิไลย์ แจ้งทรัพย์สินส่วนใหญ่ เป็นพระเครื่อง รวมมูลค่ากว่า 147 ล้านบาท
นายมงคลกิตติ์อธิบายว่า เริ่มสะสมพระตั้งแต่ในสมัยเด็ก อยู่วัดมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เมื่อโตมาก็ได้สนิทกับพระอาจารย์ทั้งหลาย และช่วยระดมทุนในการสร้างพระ สร้างโบสถ์ พระอาจารย์จึงได้ให้พระเพื่อเอาไว้ป้องกันตัว
ส่วนเรื่องราคา นายมงคลกิตติ์อ้างว่า เคยมีคนมาติดต่อขอเช่าพระในราคา 50 ล้านบาท แต่ไม่ขาย เพราะพุทธคุณของพระนั้นเป็นสิ่งสำคัญกว่าเงินทอง บางคนมีเงินมากมายแต่ก็ไม่สามารถครอบครอง และยืนยันว่าที่สะสมพระ ไม่ได้เป็นการฟอกเงิน เพราะเมื่อออกจากตำแหน่ง ก็ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. อีกครั้ง
สื่อมวลชนยังรายงานด้วยว่า นายมงคลกิตติ์ได้นำพระมาโชว์ถึง 3 องค์
อ้างว่า เป็นพระกริ่งปวเรศทองคำแท้หนัก 3 บาท มูลค่า 50 ล้านบาท
พระสมเด็จไกเซอร์ มูลค่า 30 ล้านบาท
และพระร่วงหลังรางปืน จ.สุโขทัย มูลค่า 12 ล้านบาท
น่าสงสัยว่า พระกริ่งปวเรศทองคำแท้นั้น จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นของแท้หรือไม่? ไปได้มาอย่างไร เพราะในวงการถือว่าหายากมาก
3. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ตามหลักการในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงข้าราชการต่างๆ นั้น มี 2 ส่วน คือ 1.ตรวจสอบถึงความถูกต้องของทรัพย์สิน และ 2.ตรวจสอบความมีอยู่จริงของทรัพย์สิน โดยจะดูว่าทรัพย์สินดังกล่าวนั้นได้มาถูกต้องหรือไม่ มีอยู่จริงตามที่แจ้งหรือไม่ และถูกต้องตามเอกสารแนบที่เป็นรูปถ่ายประกอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่
“มูลค่าของทรัพย์สิน โดยเฉพาะทรัพย์สินจำพวกเครื่องรางของขลัง หรือพระเครื่อง ไม่มีตลาดกลางที่ระบุราคาอย่างชัดเจน ยกตัวอย่าง ถ้าแจ้งว่าครอบครองทองคำ ยังตรวจสอบมูลค่าได้จากตลาดกลางการซื้อขายทองคำ แต่จำพวกของขลังไม่มีตลาดกลางตรงนี้ ดังนั้น การตรวจสอบเบื้องต้น คือ ดูข้อมูลว่าเจ้าของตีมูลค่ามาจากอะไร ตีค่าจากมูลค่าทางจิตใจ หรืออะไรก็แล้ว อย่างไรก็ตาม กรณีนี้สำนักงาน ป.ป.ช. จะต้องจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ” นายวรวิทย์กล่าว
4. กรณีเหล่านี้ มองได้หลายอย่าง
4.1 สส.ที่แจ้งครอบครอง บางท่านก็คงมีจิตศรัทธาจริงๆ อาจมีพระเครื่องที่มีมูลค่าแพงจริงๆ เช่นเดียวกับสะสมทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางใจอื่นๆ ด้วย
4.2 สส.บางคน อาจสุ่มเสี่ยงต่อการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ ป.ป.ช.คงต้องตรวจสอบเชิงลึกกันเป็นรายๆ ไป เพราะมิฉะนั้นแล้ว ในอนาคต สส.ที่คิดจะเข้ามากอบโกยทุจริตก็สามารถทำได้ โดยทำเป็นแจ้งของขลังมูลค่าหลายร้อยล้านบาทเอาไว้ แต่พอเข้ามากอบโกยได้เงินสกปรกเข้ามา ก็เอาไปซื้อทรัพย์สินรายการอื่นๆ เช่น บ้าน รถ ที่ดิน ฯลฯ มูลค่าทรัพย์สินรวมตอนเข้าสู่ตำแหน่งกับตอนออกจากตำแหน่งก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากหรือถ้าถูกสอบถามก็บอกแต่เพียงว่า มีที่มาจากการขายของขลังออกไปในมูลค่าสูงๆ ไม่ใช่การร่ำรวยผิดปกติ เพราะฉะนั้น หากมีการขายก็จะต้องแจ้งด้วยว่าขายใคร ราคาเท่าใด และมีหลักฐานที่แน่ชัดว่าซื้อขายกันจริงๆ มิใช่อ้างลอยๆ
4.3 ในแวดวงผู้ตรวจสอบเรื่อวงการฟอกเงิน จะทราบดีว่า พระเครื่อง ของขลัง วัตถุมงคล เป็นทรัพย์สินที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษมาโดยตลอด อยู่ในวงจรเงินนอกระบบ ที่หมุนเวียนข้องเกี่ยวกับขบวนการฟอกเงินจากอาชญากรรมทางเศรษฐกิจหลากหลายรูปแบบ รวมถึงเรื่องยาเสพติด ทุจริตคอร์รัปชั่น
ทรัพย์สินในเครือข่ายผู้กระทำผิดที่ ปปง.อายัดได้ในแต่ละปี ก็จะปรากฏว่า มีบรรดาพระเครื่อง ของขลัง งานศิลปะ วัตถุโบราณอยู่จำนวนมาก
ยังเป็นปัญหาอยู่ว่า จะเข้าไปกับตรวจสอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์สินจำพวกนี้อย่างมีประสวิทธิภาพได้อย่างไร เพื่อมิให้ถูกมิจฉาชีพใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี